สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันพุธ (31 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจลุกลามเป็นวงกว้าง หลังจากนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำของกลุ่มฮามาสได้ถูกกองกำลังทหารของอิสราเอลสังหารในประเทศอิหร่าน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 3.18 ดอลลาร์ หรือ 4.26% ปิดที่ 77.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.09 ดอลลาร์ หรือ 2.66% ปิดที่ 80.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
กลุ่มฮามาสและกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่านออกแถลงการณ์ระบุว่า นายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส ได้ถูกสังหารในอิหร่านเมื่อวานนี้ (31 ก.ค.) โดยนายฮานิเยห์ได้เดินทางไปยังประเทศอิหร่านเพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่าน
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวัน หลังจากที่กองทัพอิสราเอลได้ทำการโจมตีแบบเล็งเป้าหมายในกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอนเมื่อวันที่ 30 ก.ค. เพื่อสังหารผู้บัญชาการทหารของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เนื่องจากมีส่วนรับผิดชอบต่อการยิงจรวดโจมตีที่ราบสูงโกลันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีเด็กชาวอิสราเอลเสียชีวิตจำนวน 12 ราย
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ประกาศจัดการประชุมฉุกเฉิน โดยจะเริ่มขึ้นในเวลา 03.00 น.ของวันที่ 1 ส.ค.ตามเวลาไทย หลังเกิดเหตุลอบสังหารนายฮานิเยห์ โดยการประชุมดังกล่าวมีขึ้นตามคำร้องของผู้แทนถาวรของอิหร่าน และได้รับการสนับสนุนจากผู้แทนของจีน รัสเซีย และแอลจีเรีย
ทั้งนี้ ข่าวการสังหารนายฮานิเยห์ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันดิบมากถึง 1 ใน 3 ของโลก
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลง 3.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1 ล้านบาร์เรล