สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพฤหัสบดี (8 ส.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 1.28% ปิดที่ 76.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.06% ปิดที่ 79.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 17,000 ราย สู่ระดับ 233,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 241,000 ราย
จิโอวานนี สตาโนโว นักวิเคราะห์ของ UBS กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัว และช่วยให้นักลงทุนคลายความความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมัน
ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่าจะลดลงเพียง 700,000 บาร์เรล และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 6 สัปดาห์
นอกจากนี้ เหตุการณ์ลอบสังหารแกนนำของกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าอิหร่านอาจจะเปิดฉากล้างแค้นอิสราเอล ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางซึ่งภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดของโลก
ทิม สไนเดอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัท Matador Economics คาดการณ์ว่า "ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นอย่างมาก หากอิหร่านใช้ปฏิบัติการตอบโต้อิสราเอลในระดับที่รุนแรง และผมคิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ทุกคนวิตกกังวล"
ส่วนสถานการณ์ตึงเครียดล่าสุดในตะวันออกกลางนั้น หน่วยงานปฏิบัติการการค้าทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักร (UKMTO) ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในพื้นที่ตอนใต้ของเมืองโมคา (Mokha) ในเยเมน โดยนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว กลุ่มกบฎฮูตีในเยเมนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านได้ก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกสินค้าต่างชาติ โดยเพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส