สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (15 ส.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.18 ดอลลาร์ หรือ 1.53% ปิดที่ 78.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.28 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 81.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% หลังจากที่ปรับตัวลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 236,000 ราย
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่ชะลอตัวลงในเดือนก.ค. ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โดยการปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
ทิม สไนเดอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Matador Economics สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมัน โดยขณะนี้ยังคงมีความเป็นไปได้ว่าอิหร่านจะล้างแค้นอิสราเอล หลังจากนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส ถูกลอบสังหารในอิหร่านเมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวก เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมัน หลังจากจีนเปิดเผยว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลงในเดือนก.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันรายใหญ่ของโลก