สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (28 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัว หลังจากลิเบียระงับการผลิตน้ำมัน และอิรักวางแผนปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.39 ดอลลาร์ หรือ 1.87% ปิดที่ 75.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.64% ปิดที่ 79.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
ลิเบียได้ระงับการผลิตน้ำมันมากกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อวานนี้ และระงับการส่งออกน้ำมันที่ท่าเรือหลายแห่ง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การผลิตน้ำมันประมาณ 700,000 บาร์เรล/วันในลิเบียได้หยุดชะงักแล้วในขณะนี้
จิโอวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์จาก UBS คาดการณ์ว่า ลิเบียมีแนวโน้มที่จะระงับการผลิตน้ำมันมากถึง 1 ล้านบาร์เรล/วันในเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าการผลิตน้ำมันจะยังไม่ฟื้นตัวก่อนที่จะถึงเดือนต.ค.
ทั้งนี้ ลิเบียกำลังเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการเมือง หลังมีความขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลลิเบียตะวันออกซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเบงกาซีกับรัฐบาลลิเบียที่ตั้งอยู่ในกรุงตริโปลีและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งกันในประเด็นที่ว่าฝ่ายใดควรมีอำนาจในการควบคุมธนาคารกลางลิเบีย
นอกจากนี้มีรายงานว่า อิรักวางแผนที่จะลดการผลิตน้ำมันในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนชดเชยการผลิตเกินโควตาตามที่ตกลงไว้กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) โดยรายงานระบุว่าอิรักซึ่งผลิตน้ำมันได้ 4.25 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ค.นั้น จะลดการผลิตลงเหลือ 3.85 - 3.9 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก.ย. ซึ่งโควตาที่ตกลงกันไว้คือ 4 ล้านบาร์เรล/วัน
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน