สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (16 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่าพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีน (Francine) ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.44 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 70.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิดที่ 72.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (BSEE) แถลงเมื่อวานนี้ว่า การผลิตน้ำมันดิบกว่า 12% และการผลิตก๊าซธรรมชาติ 16% ในอ่าวเม็กซิโกยังคงถูกระงับ เนื่องจากอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีน
ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า อ่าวเม็กซิโกทางตอนเหนือซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสหรัฐฯ มีการผลิตน้ำมันดิบในสัดส่วน 15% ของการผลิตน้ำมันดิบทั้งหมดในสหรัฐฯ และผลิตก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 2% ของการผลิตทั้งหมดภายในประเทศ
รายงานเกี่ยวกับผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีนเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และบดบังปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ในจีน หลังจากที่จีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวัง ซึ่งรวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ขณะที่อัตราว่างงานในพื้นที่เขตเมืองพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน และราคาบ้านปรับตัวลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 9 เดือน
นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดในพุธนี้ (18 ก.ย.) ตามเวลาสหรัฐฯ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 59% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วที่ให้น้ำหนักเพียง 30%