สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (17 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากความหวังที่ว่าอุปสงค์น้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นหลังมีรายงานเกี่ยวกับผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีน (Francine) และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 1.57% ปิดที่ 71.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 95 เซนต์ หรือ 1.31% ปิดที่ 73.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบกว่า 12% ในอ่าวเม็กซิโกได้ถูกระงับ เนื่องจากอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคนฟรานซีน
นักวิเคราะห์จากบริษัท AEGIS Hedging กล่าวว่า สถานการณ์ตึงเครียดรอบใหม่ในตะวันออกกลางยังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน โดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ประกาศว่าจะล้างแค้นอิสราเอล หลังเกิดเหตุการณ์เพจเจอร์ (Pager) ระเบิดทั่วเลบานอน โดยเพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในเลบานอน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย และบาดเจ็บเกือบ 3,000 ราย ซึ่งรวมถึงนักรบของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และทูตอิหร่านประจำกรุงเบรุต ขณะที่อิสราเอลปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนมีความหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันนี้ (18 ก.ย.) โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 65% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วที่ให้น้ำหนักเพียง 34%
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน อีกทั้งจะทำให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะช่วยให้สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงสัญญาน้ำมันดิบนั้น มีราคาที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้ เวลาประมาณ 21.30 น.ตามเวลาไทย