สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (19 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยหนุนจากการปรับตัวลงของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 71.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.67% ปิดที่ 74.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
เฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พร้อมกับส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยขาลงอย่างน้อยจนถึงปี 2569 นอกจากนี้ เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวภายหลังการประชุมว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และเขายังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 200,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล
ทิม สไนเดอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Matador Economics กล่าวว่า ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากมีรายงานว่า walkie-talkie หรือเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุแบบมือถือที่ใช้งานโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนได้เกิดระเบิดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังเกิดเหตุการณ์เพจเจอร์ระเบิดทั่วเลบานอน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของเลบานอนเปิดเผยว่า เหตุการณ์เหล่านี้เป็นฝีมือของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล หรือ มอสสาด (Mossad) อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อิสราเอลยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว