สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (23 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซนและจีนอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 63 เซนต์ หรือ 0.89% ปิดที่ 70.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 0.79% ปิดที่ 73.9 ดอลลาร์/บาร์เรล
ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) และเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ย.ของยูโรโซนปรับตัวลงสู่ระดับ 44.8 จากระดับ 45.8 ในเดือนส.ค. โดยดัชนีเดือนก.ย.อยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 45.6 นอกจากนี้ ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว
ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก รวมทั้งข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิตในยูโรโซน ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะชะลอตัวลง
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน จากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันอาจจะได้รับผลกระทบสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดอิสราเอลได้ส่งเครื่องบินรบโจมตีพื้นที่ตอนใต้และทางตะวันออกของเลบานอนเมื่อวานนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 ราย และบาดเจ็บกว่า 1,000 ราย
ดมิทรี เจนเดลแมน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอลกล่าวว่า อิสราเอลได้เข้าสู่ระดับใหม่ของการเผชิญหน้ากับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โดยจะไม่มีเส้นแดงอีกต่อไป
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์พายุในอ่าวเม็กซิโก หลังจากบริษัท เชลล์ (Shell) ประกาศหยุดการผลิตที่โรงงานสโตนส์ (Stones) และแอปโพแมตทอกซ์ (Appomattox) ในอ่าวเม็กซิโกเป็นการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากพายุหมุนเขตร้อนที่มีแนวโน้มก่อตัวขึ้น