สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (24 ก.ย.) ขานรับข่าวจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในภูมิภาคแห่งนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 71.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 75.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อให้จีนหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดและผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยมาตรการดังกล่าวรวมถึงการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50%, ปรับลดเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สอง และจัดสรรเงินกู้ระยะยาวมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.4178 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)
คลอดิโอ แกลิมเบอร์ติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ตลาดโลกจากบริษัท Rystad Energy กล่าวว่า ข่าวรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน เป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากภาวะการซื้อขายในตลาดซบเซาลงในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากกองทัพอิสราเอลใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ส่งผลให้อิบราฮิม มูฮัมหมัด กาบิซี ผู้บัญชาการกองกำลังจรวดและขีปนาวุธของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งผู้บัญชาการทหารอีกหลายราย เสียชีวิต
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การทำสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง และมีความเสี่ยงที่จะทำให้อิหร่านซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน เผชิญหน้ากับอิสราเอลโดยตรง
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ จะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ย.