สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพุธ (25 ก.ย.) หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าความขัดแย้งในลิเบียเริ่มคลี่คลายลงและทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันลดน้อยลงด้วย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์ชะลอตัว แม้ว่าจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ก็ตาม
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.87 ดอลลาร์ หรือ 2.61% ปิดที่ 69.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.71 ดอลลาร์ หรือ 2.27% ปิดที่ 73.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า รัฐบาลลิเบียฝั่งตะวันออกและตะวันตกได้ลงนามในข้อตกลงที่จะนำไปสู่กระบวนการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลางลิเบีย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของการยุติข้อพิพาทที่ว่ารัฐบาลของฝั่งใดควรมีอำนาจในการควบคุมธนาคารกลางและรายได้จากน้ำมัน หลังจากที่ข้อพิพาทดังกล่าวได้ส่งผลให้ลิเบียต้องระงับการผลิตและการส่งออกน้ำมัน โดยลิเบียเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
จอร์จ คูรี หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัท CFI Financial Group กล่าวว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันในจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดราคาน้ำมันร่วงลง โดยแม้ว่าธนาคารกลางจีนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ตลาดมองว่าจีนจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นอุปสงค์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
ฟิล ฟลินน์ นักเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า แม้สหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด แต่ราคาน้ำมันร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์น้ำมันชะลอตัวในสหรัฐฯ
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลง 4.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล