สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (26 ก.ย.) หลังจากสื่อรายงานว่าซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนธ.ค. เช่นเดียวกับสมาชิกรายอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 2.02 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 67.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.86 ดอลลาร์ หรือ 2.53% ปิดที่ 71.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ซาอุดีอาระเบียเตรียมยกเลิกการกำหนดเป้าหมายราคาน้ำมันอย่างไม่เป็นทางการที่ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และพร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนธ.ค. แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวในระดับต่ำเป็นเวลานาน
ท่าทีดังกล่าวถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นผู้นำของกลุ่มโอเปกพลัสในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 เพื่อพยุงราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ แหล่งข่าวสองรายจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า โอเปกพลัสมีแผนที่จะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนธ.ค. เนื่องจากเล็งเห็นว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยหากสมาชิกบางประเทศลดการผลิตในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อชดเชยการผลิตส่วนเกินในเดือนก.ย.และเดือนต่อ ๆ ไป
โอเล แฮนเซน นักวิเคราะห์จากบริษัท Saxo Bank กล่าวว่า ข่าวซาอุดีอาระเบียเพิ่มกำลังการผลิต รวมทั้งแนวโน้มที่อุปทานน้ำมันในลิเบียจะเพิ่มขึ้นหลังจากข้อพิพาททางการเมืองภายในประเทศคลี่คลายลงนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดราคาน้ำมันร่วงลง
องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ตัวแทนของรัฐบาลลิเบียฝั่งตะวันออกและตะวันตกได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับกระบวนการและกรอบเวลาในการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลางลิเบีย โดยข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกของการยุติข้อพิพาทที่ว่ารัฐบาลของฝั่งใดควรมีอำนาจในการควบคุมธนาคารกลางและรายได้จากน้ำมัน หลังจากที่ข้อพิพาทดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันของลิเบีย