สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 5% ในวันพฤหัสบดี (3 ต.ค.) และเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันวันที่ 3 โดยราคาน้ำมันยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐกำลังหารือกับอิสราเอลเกี่ยวกับการโจมตีคลังน้ำมันของอิหร่าน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 3.61 ดอลลาร์ หรือ 5.15% ปิดที่ 73.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.72 ดอลลาร์ หรือ 5.03% ปิดที่ 77.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นแรงหนุนราคาน้ำมัน โดยล่าสุดปธน.ไบเดนผู้นำสหรัฐเปิดเผยว่า เขากำลังหารือกับอิสราเอลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการโจมตีคลังน้ำมันของอิหร่าน
บีจาร์น ชิลดรอป หัวหน้านักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคาร SEB กล่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ยังคงมีกำลังการผลิตน้ำมันส่วนเกินที่เพียงพอสำหรับชดเชยการส่งออกน้ำมันที่ลดลงของอิหร่าน ในกรณีที่อิสราเอลทำการโจมตีคลังน้ำมันของอิหร่าน แต่หากการโจมตีดังกล่าวทำให้ผู้ค้าน้ำมันเกิดความกังวลเกี่ยวกับการปิดช่องแคบฮอร์มุซ และมีการเพิ่มค่าพรีเมียมความเสี่ยงเข้าไปในราคาน้ำมัน ก็จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 200 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ อิหร่านเป็นหนึ่งในสมาชิกรายใหญ่ของกลุ่มโอเปก โดยมีกำลังการผลิต 3.2 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 3% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก
พันเอกแจ็ค จาคอปส์ ซึ่งเป็นทหารปลดประจำการของกองทัพสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า อิสราเอลอาจจะพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งจะกระตุ้นให้อิหร่านใช้ขีปนาวุธโต้ตอบกลับในระดับที่รุนแรงกว่า และจะยิ่งส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้นอีก