สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันจันทร์ (7 ต.ค.) ขณะที่สัญญาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่มีความเสี่ยงว่าจะลุกลามบานปลายได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 2.76 ดอลลาร์ หรือ 3.71% ปิดที่ 77.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.88 ดอลลาร์ หรือ 3.69% ปิดที่ 80.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นกว่า 8% และราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 9% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ที่มากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี หลังจากอิหร่านยิงขีปนาวุธจำนวนมากโจมตีอิสราเอล ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าอิสราเอลจะตอบโต้อิหร่านด้วยการพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่าน
ส่วนสถานการณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ยิงจรวดโจมตีเมืองไฮฟาของอิสราเอล ขณะที่กองกำลังทหารของอิสราเอลเตรียมความพร้อมที่จะขยายปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินเข้าไปทางตอนใต้ของเลบานอน
ดาอัน สตรอยเวน หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านสินค้าโภคภัณฑ์โลกของโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ว่า ราคาน้ำมันอาจจะพุ่งขึ้น 20 ดอลลาร์/บาร์เรล หากอิสราเอลตอบโต้อิหร่านกลับคืนด้วยการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของอิหร่าน
ทั้งนี้ อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มโอเปก ถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อตลาดน้ำมันโลก โดยอิหร่านผลิตน้ำมันเกือบ 4 ล้านบาร์เรล/วัน และอุปทานน้ำมันทั่วโลกราว 4% อาจตกอยู่ในความเสี่ยงหากโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่านถูกอิสราเอลโจมตีเพื่อเป็นการตอบโต้