สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันศุกร์ (18 ต.ค.) และร่วงลงมากกว่า 7% ในรอบสัปดาห์นี้ หลังจากการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง และนักลงทุนประเมินสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 1.45 ดอลลาร์ หรือ 2.05% ปิดที่ 69.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 1.39 ดอลลาร์ หรือ 1.87% ปิดที่ 73.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงราว 8% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงมากกว่า 7% โดยสัญญาน้ำมันทั้งสองตัวร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่โอเปกและสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2567 และ 2568
เศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกนั้นขยายตัวในไตรมาส 3 ที่อัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2566 แม้การอุปโภคบริโภคและผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นเกินคาดก็ตาม
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า มีโอกาสที่จะจัดการกับอิสราเอลและอิหร่านในลักษณะที่อาจช่วยยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลางลงชั่วคราว
หลังจากการสังหาร ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาสนั้น กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า พวกเขากำลังก้าวเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ที่รุนแรงขึ้นในการต่อสู้กับทหารอิสราเอล หลังจากที่ก่อนหน้านั้น หลายคนมีความหวังว่าการตายของซินวาร์จะช่วยให้สงครามที่ทวีความรุนแรงในตะวันออกกลางสิ้นสุดลงเร็วขึ้น แต่การประกาศของฮิซบอลเลาะห์ทำลายความหวังเหล่านั้น
การผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ พุ่งทำสถิติใหม่อีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน(EIA) ของสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ต.ค. เป็น 13.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากสถิติก่อนหน้านี้ที่ 13.4 ล้านบาร์เรลต่อวันซึ่งเคยทำไว้เมื่อสองเดือนก่อน แต่การที่ EIA ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันกลั่นของสหรัฐฯ ลดลงในสัปดาห์ที่แล้วนั้นได้ช่วยพยุงราคาน้ำมัน
ยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเกินคาดในเดือนก.ย. ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินโอกาส 92% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนพ.ย.