สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (23 ต.ค.) หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 97 เซนต์ หรือ 1.35% ปิดที่ 70.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.42% ปิดที่ 74.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 5.5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 426 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 270,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล สู่ระดับ 213.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 113.8 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.34% แตะระดับ 104.431
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยล่าสุดแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้พบกับ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เพื่อเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในตะวันออกกลาง หลังจากอิสราเอลสังหารผู้นำของกลุ่มฮามาสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อิสราเอลกำลังต่อสู้กับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน พร้อมทั้งประกาศว่าจะตอบโต้อิหร่านที่โจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สงครามในฉนวนกาซาเปิดฉากขึ้นหลังจากกลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1,206 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ขณะที่การตอบโต้ของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิต 42,718 รายในฉนวนกาซา ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน ตามตัวเลขจากกระทรวงสาธารณสุขของกลุ่มฮามาส