สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (25 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในตะวันออกกลาง รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 1.59 ดอลลาร์ หรือ 2.27% ปิดที่ 71.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือ 2.25% ปิดที่ 76.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 3.7% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 4%
บรรดานักลงทุนทั่วโลกคาดว่าการซื้อขายจะผันผวนมากขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์สำคัญที่จะถึงนี้ ก่อนการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ รวมถึงการเลือกตั้งในญี่ปุ่นในวันที่ 27 ต.ค., การประชุมของธนาคารกลาง 3 แห่งเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการเปิดเผยงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาลอังกฤษ
ทั้งสัญญาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ต่างปรับตัวผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยปรับตัวขึ้นในวันจันทร์และวันอังคาร ก่อนลดลงในวันพุธและวันพฤหัสบดี ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการคาดการณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในตะวันออกกลาง
บรรดานักลงทุนยังคงรอคอยการตอบโต้ของอิสราเอลต่อการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิหร่านเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยการตอบโต้อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วระบุว่า อิสราเอลจะโจมตีเป้าหมายทางทหารมากกว่าที่จะโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์หรือน้ำมัน
บรรดานักลงทุนยังคงมองหาความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แม้นักวิเคราะห์จะไม่คาดหวังว่า มาตรการเหล่านั้นจะช่วยเพิ่มความต้องการน้ำมันได้อย่างมีนัยสำคัญก็ตาม
โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (24 ต.ค.) ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปี 2568 จะอยู่ระหว่าง 70-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยคาดว่าผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยสำคัญอื่น ๆ เช่น ปริมาณน้ำมันจากตะวันออกกลาง
ด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา (Bank of America) คาดการณ์ในวันศุกร์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2568 หากโอเปกพลัสไม่ยกเลิกการปรับลดการผลิตน้ำมันไปจนถึงปีหน้า