สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% ในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) และปิดบวกในรอบสัปดาห์นี้ แม้ปริมาณการซื้อขายเบาบางในช่วงใกล้สิ้นปี โดยตลาดได้แรงหนุนจากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ระดับ 70.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 74.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในรอบสัปดาห์นี้ ทั้งสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบ WTI ต่างปรับตัวขึ้นประมาณ 1.4%
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจลดลงเพียง 700,000 บาร์เรล
ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนได้เพิ่มความหวังเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นในปีหน้าจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
ธนาคารโลกได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2567 และ 2568 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า หน่วยงานของทางการจีนตกลงที่จะออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 3 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 4.11 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นความพยายามของจีนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา
TACenergy ผู้จัดจำหน่ายเชื้อเพลิงเปิดเผยในวันศุกร์ว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็นประเด็นรองในตลาดพลังงานเนื่องจากความต้องการน้ำมันโลกซบเซานั้น กำลังกลับมาเป็นประเด็นหลักอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์หลายอย่างในสัปดาห์นี้ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในปีหน้า
นาโต (NATO) ประกาศเมื่อวันศุกร์ว่าจะเพิ่มกำลังทหารในทะเลบอลติก หนึ่งวันหลังจากที่ฟินแลนด์ยึดเรือที่ขนส่งน้ำมันจากรัสเซีย เนื่องจากสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับภาวะขัดข้องของสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดค้าส่งของเนเธอร์แลนด์และอังกฤษปรับตัวขึ้น เนื่องจากมีความหวังน้อยลงเกี่ยวกับการทำข้อตกลงใหม่ในการขนส่งก๊าซของรัสเซียผ่านยูเครน
อเล็กซ์ โฮเดส นักวิเคราะห์จากสโตนเอ็กซ์ (StoneX) กล่าวว่า ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น หลังจากอิสราเอลบุกโรงพยาบาลในภาคเหนือของกาซาเมื่อวันศุกร์ และโจมตีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฮูตีในเยเมนเมื่อวันพฤหัสบดี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากนักในปีหน้า
เขากล่าวว่า ความเสี่ยงใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางจะมาจากการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรที่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาบริหารงานในสหรัฐฯ