สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (8 ม.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และรายงานสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 93 เซนต์ หรือ 1.25% ปิดที่ 73.32 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.16% ปิดที่ 76.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลงกว่า 1% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ โดยระบุว่าสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 6.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 500,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล พุ่งขึ้น 6.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 500,000 บาร์เรล
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 959,000 บาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.5% แตะที่ 109.090 ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน จากรายงานที่ว่าการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ลดลงในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน ขณะที่รัสเซียผลิตน้ำมันเฉลี่ย 8.971 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายการผลิตของประเทศ