สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (9 ม.ค.) เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นที่ปกคลุมพื้นที่บางส่วนของสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้ความต้องการเชื้อเพลิงในฤดูหนาวปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 73.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 1.00% ปิดที่ 76.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
ความต้องการเชื้อเพลิงในฤดูหนาวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น โดยสำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NWS) ได้ออกประกาศเตือนภัยพายุฤดูหนาวในหลายพื้นที่เมื่อวานนี้ ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของรัฐเท็กซัสไปจนถึงฝั่งตะวันตกของรัฐเวอร์จิเนีย และยังครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐอาร์คันซอ เทนเนสซี และเคนตักกี
ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า สัญญาน้ำมันดีเซลชนิดกำมะถันต่ำพิเศษ (ultra-low sulfur diesel) หรือ ULSD มีการซื้อขายที่ประมาณ 2.38 ดอลลาร์/แกลลอน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. 2567
นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนประมาณการว่า สำหรับสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นนั้น ทุก ๆ หนึ่งองศาฟาเรนไฮต์ที่อุณหภูมิลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี จะทำให้ความต้องการน้ำมันฮีตติ้งออยล์และโพรเพนเพิ่มขึ้น 113,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากอุณหภูมิที่หนาวจัดทำให้ผู้บริโภคเร่งเปิดเครื่องทำความร้อน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแนวโน้มที่จะประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ที่พุ่งเป้าไปที่เศรษฐกิจรัสเซียในสัปดาห์นี้ โดยคณะบริหารของไบเดนกำลังพยายามเพิ่มประสิทธิภาพให้กับยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.นี้ โดยที่ผ่านมานั้นเป้าหมายสำคัญของการคว่ำบาตรคืออุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซีย
เคลวิน หว่อง นักวิเคราะห์จากบริษัท OANDA คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมัน WTI จะแกว่งตัวในกรอบ 67.55 - 77.95 ดอลลาร์จนถึงเดือนก.พ. ในขณะที่ตลาดรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ และมาตรการกระตุ้นการคลังจากจีน