สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันอังคาร (21 ม.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมัน ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดในปีนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.99 ดอลลาร์ หรือ 2.56% ปิดที่ 75.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.07% ปิดที่ 79.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
ปธน.ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติเพื่อเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และตั้งโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตามที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่า เขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติในวันแรกที่ดำรงตำแหน่ง เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซินและค่าไฟของชาวอเมริกันลงครึ่งหนึ่งภายในช่วงปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ราคาน้ำมันยังถูกกดดันหลังจากศูนย์ความร่วมมือด้านการดำเนินงานฝ่ายมนุษยธรรม (HOCC) ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างกลุ่มฮูตีและผู้ประกอบการธุรกิจเดินเรือ ประกาศว่า กลุ่มฮูตีจะจำกัดการโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง เหลือเพียงเรือสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอลเท่านั้น และหากอิสราเอลปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาอย่างสมบูรณ์จนสิ้นสุดระยะสุดท้าย ฮูตีก็จะยกเลิกการโจมตีเรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลในที่สุด
ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ได้เน้นย้ำถึงการคาดการณ์ที่ว่า ราคาน้ำมันจะปรับตัวลงทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยถูกกดดันจากการผลิตน้ำมันทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงลบในระหว่างวัน หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะยุติการซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของเวเนซุเอลา รองจากจีน