สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ในวันพุธ (22 ม.ค.) และเป็นการปิดในแดนลบติดต่อกัน 4 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกมากเพียงใด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.51% ปิดที่ 75.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.37% ปิดที่ 79.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักวิเคราะห์จากบริษัท Ritterbusch and Associates กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับการใช้มาตรการคว่ำบาตรในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ และนักลงทุนมองว่ามาตรการภาษีศุลกากรที่จะบังคับใช้กับจีน แคนาดา และเม็กซิโกก็ยังไม่แน่นอนเช่นกัน
ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ว่า คณะบริหารของเขากำลังหารือเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ในวันที่ 1 ก.พ. และในวันเดียวกันนั้น เขาประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% ในวันที่ 1 ก.พ.เช่นกัน
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์เตือนว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรป โดยยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม และขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากรัสเซียครั้งใหม่ หากรัสเซียไม่ยอมทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน
นักวิเคราะห์จาก ING กล่าวว่า ความสนใจของนักลงทุนในตลาดน้ำมันกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนจากการคว่ำบาตรรัสเซีย ไปเป็นนโยบายการค้าที่อาจเกิดขึ้นในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ โดยขณะนี้อุตสาหกรรมพลังงานกำลังได้รับแรงกดดันจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ม.ค. ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการจาก EIA ในวันนี้ เวลาประมาณ 23.00 น.ตามเวลาไทย