สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (4 ก.พ.) หลังจากจีนและสหรัฐฯ เปิดฉากการทำสงครามการค้า อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงลบหลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการกดดันอิหร่าน โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านลดลงเหลือศูนย์
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.63% ปิดที่ 72.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ หรือ 0.32% ปิดที่ 76.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรก ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงกว่า 3% หลังจากมาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหม่ 10% ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับจีนเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันอังคาร ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ด้านการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
แต่ราคาน้ำมัน WTI ลดช่วงลบในเวลาต่อมา หลังจากมีรายงานว่าปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ใช้ "มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจขั้นสูงสุด" ต่ออิหร่าน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านลดลงเหลือศูนย์ โดยการลงนามคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่ปธน.ทรัมป์จะประชุมร่วมกับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนนตรีอิสราเอล ที่ทำเนียบขาว
ปธน.ทรัมป์เคยผลักดันให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านลดลงเกือบเหลือศูนย์ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งวาระแรก แต่การส่งออกน้ำมันของอิหร่านกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงการดำรงตำแหน่งของอดีตปธน.โจ ไบเดน หลังจากอิหร่านประสบความสำเร็จในการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร
ทั้งนี้ อิหร่านซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) นั้น สามารถผลิตน้ำมันได้ 3.3 ล้านบาร์เรล/วัน หรือประมาณ 3% ของการผลิตทั่วโลก
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.025 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค. ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้