สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ออกไปอย่างน้อยจนถึงเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.11% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 75.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรก ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 1% หลังจากมีรายงานว่ารัสเซียและยูเครนอาจจะทำข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียสิ้นสุดลง และส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
แต่ราคาน้ำมันลดช่วงลบ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะถึงวันที่ 1 เม.ย. โดยปธน.ทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าศึกษาในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติม
ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า การเลื่อนเวลาบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ออกไปจนถึงเดือนเม.ย.สะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐฯ จะต้องใช้เวลามากขึ้นในการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้า ซึ่งทำให้ตลาดคลายความกังวล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันถูกกดดันจากความกังวลว่าสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
นักลงทุนยังคงจับตาการเจรจายุติสงครามในยูเครน หลังจากปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ต่างก็แสดงความประสงค์ที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ และปธน.ทรัมป์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สหรัฐเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน
ทางด้านปธน.เซเลนสกีกล่าวว่า ยูเครนจะไม่ยอมรับการเจรจาทวิภาคีใด ๆ หากยูเครนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และยังกล่าวด้วยว่า การจัดการประชุมในยูเครนตามรูปแบบของสหรัฐฯ ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และตามมาด้วยการเจรจากับรัสเซีย