สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ รวมทั้งข่าวที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 66.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
เดนนิส คิสเลอร์ รองประธานฝ่ายเทรดดิ้งของบริษัท BOK Financial กล่าวว่า ข่าวโอเปกพลัสเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย. รวมทั้งแนวโน้มการบรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน และการประกาศมาตรการภาษีที่กลับไปกลับมาของสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันเป็นไปอย่างผันผวน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อนเวลาการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% ออกไปจนถึงวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะบังคับใช้สำหรับสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากปธน.ทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนเวลาการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 1 เดือน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์อาจจะยกเลิกภาษี 10% ที่เรียกเก็บจากการนำเข้าพลังงานจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซิน ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)
ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันสูงสุดต่ออิหร่านด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตร เพื่อทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านทรุดตัวลงและสร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินของอิหร่านด้วย