สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (27 มี.ค.) โดยราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นติดต่อกันวันที่ 2 เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด และแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัว ขณะเดียวกันนักลงทุนประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.39% ปิดที่ 69.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ หรือ 0.33% ปิดที่ 74.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 956,000 บาร์เรล
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศที่ซื้อน้ำมันและก๊าซจากเวเนซุเอลา โดยล่าสุดมีรายงานว่า รีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์ (Reliance Industries) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติอินเดีย จะระงับการนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลา หลังจากรัฐบาลทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร
นักลงทุนประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยปธน.ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพุธที่ 26 มี.ค. เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กในอัตรา 25% จากเดิมที่ระดับ 2.5% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. ส่วนการเรียกเก็บภาษีชิ้นส่วนรถยนต์จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 เม.ย.
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์เตรียมใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ในวันที่ 2 เม.ย. ขณะที่สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีดังกล่าวต่อกลุ่มประเทศ "Dirty 15" หรือ 15 ประเทศที่มียอดเกินดุลการค้าสูงสุดกับสหรัฐฯ