สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (11 เม.ย.) หลังจากคริส ไรท์ รัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ อาจยุติการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน เพื่อกดดันให้อิหร่านยอมเจรจาในประเด็นโครงการนิวเคลียร์
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.38% ปิดที่ 61.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 2.26% ปิดที่ 64.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
ถ้อยแถลงของไรท์ช่วยหนุนราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น หลังจากที่ตลาดน้ำมันเผชิญกับความผันผวนตลอดสัปดาห์นี้ เนื่องจากมาตรการภาษีชุดใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ทำให้เทรดเดอร์ต้องประเมินความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ใหม่อีกครั้ง
จีนประกาศเมื่อวันศุกร์ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ เป็น 125% เริ่มมีผลในวันเสาร์นี้ เพิ่มขึ้นจากที่ประกาศก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 84% หลังทรัมป์เพิ่งประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 145% เมื่อวันพฤหัสบดี
แม้ทรัมป์ชะลอการเก็บภาษีกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ หลายราย แต่ข้อพิพาทในระยะยาวระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกอาจลดปริมาณการค้าทั่วโลกและกระทบเส้นทางการขนส่ง ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเมื่อวันพฤหัสบดี และเตือนว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันราคาน้ำมันอย่างมาก พร้อมปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลกสำหรับปีนี้และปีหน้า
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2568 จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
ด้านสหประชาชาติ (UN) เตือนว่า ผลกระทบของภาษีอาจรุนแรงถึงขั้นหายนะสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
ส่วนนักวิเคราะห์จากธนาคาร ANZ คาดว่า การใช้น้ำมันทั่วโลกอาจลดลง 1% หากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงต่ำกว่า 3%