สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุโจมตีคอมพิวเตอร์โดยโปรแกรมเรียกค่าไถ่ (Ransomware) ใน 99 ประเทศทั่วโลก รวมมากกว่า 75,000 ครั้ง โดยคอมพิวเตอร์จะปรากฎหน้าต่างเรียกค่าไถ่ 300 ดอลลาร์ ซึ่งต้องชำระด้วยบิตคอยน์ และหากจ่ายล่าช้าเกิน 2-3 ชั่วโมงแรก ค่าไถ่จะถูกปรับให้สูงขึ้น หน้าต่างยังแสดงเวลานับถอยหลังการลบข้อมูลในเครื่องทิ้งอีกด้วย
ทั้งนี้ แฮคเกอร์ได้อาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์วินโดวส์เพื่อแทรกซึมเข้าไปในระบบ ซึ่งเป็นช่องโหว่เดียวกันกับที่ทางไมโครซอฟท์ บริษัทผู้ผลิตวินโดวส์ พบ และออกรายการอัพเดทความปลอดภัยไปแล้วในเดือนมี.ค.
สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ คือคอมพิวเตอร์ระบบวินโดวส์ที่ไม่ผ่านการอัพเดทความปลอดภัยดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในองค์กร รวมถึงโรงพยาบาลที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากเหตุการณ์ครั้งนี้
สำหรับประเทศที่มีรายงานการโจมตีครั้งนี้ ได้แก่ อังกฤษ สหรัฐ จีน รัสเซีย สเปน อิตาลี ไต้หวัน สวีเดน และเดนมาร์ก
โฆษกของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า นางเมย์และนายเจเรมีย์ ฮันท์ รมว.สาธารณสุข ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการที่ระบบคอมพิวเตอร์ของการให้บริการสาธารณสุขอังกฤษถูกแฮกเกอร์โจมตีทั่วประเทศ จนส่งผลให้ระบบบางส่วนเกิดความเสียหาย
สำนักงานบริการสาธารณสุขแห่งชาติของอังกฤษ (NHS) แถลงว่า ทางสำนักงานได้ถูกแฮกเกอร์โจมตีด้วย Ransomware และการโจมตีครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการของโรงพยาบาลต่างๆทั่วอังกฤษ
รัฐบาลสเปนออกแถลงการณ์เตือนเกี่ยวกับการที่บริษัทหลายแห่งถูกแฮกเกอร์โจมตีด้วย Ransomware รวมถึงบริษัทเทเลโฟนิกา ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
ขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ ออกแถลงการณ์แนะนำประชาชนอัพเดทระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หลังจากการให้บริการของโรงพยาบาล กรมตำรวจ และระบบขนส่งสาธารณะในสหรัฐ และยุโรปได้ถูกโจมตีก่อนหน้านี้