สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการจีนได้เรียกตัวแทนจากบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติเข้าพบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์ เดลล์ ซัมซุง และเออาร์เอ็ม เพื่อพูดคุยกรณีที่สหรัฐได้สั่งแบนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่างบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่
รายงานข่าวระบุว่า แม้เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลจีนไม่ได้เอ่ยชื่อหัวเว่ยโดยตรงหรือใช้คำพูดในลักษณะข่มขู่ แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าการพูดคุยดังกล่าวมีขึ้น เพื่อเตือนบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นหากบริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามคำสั่งของสหรัฐ
การที่จีนยังไม่ใช้คำพูดในลักษณะข่มขู่ชัดเจนนั้นบ่งชี้ว่า จีนยังคงต้องอาศัยเทคโนโลยีของสหรัฐสักระยะหนึ่งก่อนที่จีนจะพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดได้ด้วยตนเอง โดยการที่รัฐบาลจีนเรียกตัวแทนจากบริษัทต่าง ๆ เข้าพบนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะเป็นวิธีการในการชี้แจงมุมมองของจีนให้บริษัทเหล่านี้ทราบ
ทั้งนี้ หัวเว่ยกำลังเผชิญกับแรงกดดันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อห้ามบริษัทของสหรัฐจากการใช้เทคโนโลยีและบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัทที่สหรัฐเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เอ่ยชื่อหัวเว่ยออกมาตรง ๆ แต่ก็เป็นที่รู้ดีกันว่าการดำเนินการดังกล่าวพุ่งเป้ามายังหัวเว่ยอย่างชัดเจน จนทำให้สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และบริษัทในเครืออีก 70 แห่งไว้ใน "Entity List" ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐเข้าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ
ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า ทางกระทรวงจะเผยแพร่รายชื่อบริษัทต่างชาติ องค์กร และบุคคล ซึ่งทางกระทรวงมองว่าไม่น่าเชื่อถือ และเป็นภัยต่อบริษัทของจีน ในเร็ว ๆ นี้ โดยมีการมองกันว่า การที่จีนจัดทำบัญชีรายชื่อดังกล่าว ก็เพื่อตอบโต้สหรัฐที่ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทอื่น ๆ หากไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐ