สื่อต่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนในต่างประเทศของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ จะปรับตัวลดลงถึง 40-60 ล้านเครื่องในปีนี้ หรือประมาณ 40-60% เมื่อเทียบกับยอดขายสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยในต่างประเทศประมาณ 100 ล้านเครื่องเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา จากยอดขายทั้งในจีนและทั่วโลกรวมกันประมาณ 206 ล้านเครื่อง
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังหัวเว่ยถูกรัฐบาลสหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำห้ามทำการซื้อขายกับบริษัทอเมริกัน โดยหัวเว่ยมีปัญหากับรัฐบาลสหรัฐมานานกว่า 1 ปีแล้ว หลังรัฐบาลสหรัฐแสดงความกังวลว่า อุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจช่วยให้รัฐบาลจีนสามารถสอดแนมสหรัฐได้ จนทำให้ก่อนหน้านี้บริษัทอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล (Google) ได้ระงับการทำธุรกิจกับบริษัทหัวเว่ย แม้หลังจากนั้นไม่นานกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
หากกูเกิลระงับการทำธุรกิจกับหัวเว่ยอย่างสิ้นเชิงแล้ว จะส่งผลให้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยไม่สามารถอัพเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ตลอดจนเข้าถึงแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Google Play Store, Gmail และ YouTube ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกูเกิลได้
อย่างไรก็ตาม หัวเว่ยได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐ พร้อมยืนยันว่าหัวเว่ยเป็นบริษัทเอกชนและไม่ยุ่งเรื่องการเมือง
สำหรับแผนรับมือในอนาคตนั้น หัวเว่ยเตรียมวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากแบรนด์ลูกในรุ่น Honor 20 วันที่ 21 มิ.ย.นี้ ในบางประเทศแถบยุโรป รวมถึงอังกฤษและฝรั่งเศส
อย่างไรก็ดี ทางผู้บริหารจะติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และอาจปรับลดการขายหากยอดขายไม่ถึงเป้า เพราะยังคงกังวลว่า ผู้บริโภคอาจยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ว่าสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยอาจใช้ระบบปฏิบัติการหรือแอปพลิเคชันของกูเกิลไม่ได้
ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ข้อมูลจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของจีน ได้เริ่มกระบวนการยื่นจดทะเบียนการค้าระบบปฏิบัติการ (OS) ภายใต้ชื่อ "หงเมิ่ง (Hongmeng)" ในหลายประเทศ หลังจากที่หัวเว่ยถูกรัฐบาลสหรัฐสั่งแบนอุปกรณ์ด้านการสื่อสารโทรคมนาคม
รายงานดังกล่าวระบุว่า หัวเว่ยพุ่งเป้าเปิดตัวระบบปฏิบัติการ OS ในประเทศต่างๆอย่างน้อย 9 ประเทศ และในยุโรป ซึ่งนับเป็นสัญญาณว่า หัวเว่ยอาจจะมีแผนสำรองในตลาดหลักๆของบริษัท หลังจากถูกแบนจากสหรัฐ