นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ของจีน ได้ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่า คำสั่งแบนจากรัฐบาลสหรัฐนั้น อาจทำให้หัวเว่ยมีรายได้ลดลงประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีหน้า และคาดว่าจะมียอดขายซบเซาอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ผู้ก่อตั้งหัวเว่ยเปิดเผยว่า ทางบริษัทจะยังคงทุ่มงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาต่อไป โดยจะพยายามเลี่ยงไม่ให้เกิดการเลิกจ้างพนักงานหรือขายธุรกิจในเครือ ส่วนการที่หัวเว่ยได้ประกาศขายบริษัทหัวเว่ย มารีน บางส่วนนั้น ไม่เกี่ยวกับคำสั่งแบนของสหรัฐ
ขณะเดียวกัน นายเหริน เจิ้งเฟย ยังได้แสดงความประหลาดใจต่อการที่รัฐบาลสหรัฐได้เลือกโจมตีบริษัทเอกชนอย่างหัวเว่ย ซึ่งไม่ได้เข้ามาสกัดช่องทางซื้อส่วนประกอบเท่านั้น แต่ยังขัดขวางไม่ให้หัวเว่ยมีบทบาทในเวทีโลกด้วย โดยหัวเว่ยได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากกว่าจะมาถึงจุดนี้
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังก่อนหน้านี้ สื่อต่างประเทศหลายแห่งรายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนในต่างประเทศของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ จะปรับตัวลดลงถึง 40-60 ล้านเครื่องในปีนี้ หรือประมาณ 40-60% เมื่อเทียบกับยอดขายสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยในต่างประเทศประมาณ 100 ล้านเครื่องเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา จากยอดขายทั้งในจีนและทั่วโลกรวมกันประมาณ 206 ล้านเครื่อง
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังหัวเว่ยถูกรัฐบาลสหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำห้ามทำการซื้อขายกับบริษัทอเมริกัน โดยหัวเว่ยมีปัญหากับรัฐบาลสหรัฐมานานกว่า 1 ปีแล้ว หลังรัฐบาลสหรัฐแสดงความกังวลว่า อุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจช่วยให้รัฐบาลจีนสามารถสอดแนมสหรัฐได้ จนทำให้ก่อนหน้านี้บริษัทอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล (Google) ได้ระงับการทำธุรกิจกับบริษัทหัวเว่ย แม้หลังจากนั้นไม่นานกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกหลายราย เช่น อินเทล ควอลคอมม์ อินเตอร์ดิจิทัล และแอลจียูพลัส ได้สั่งห้ามไม่ให้พนักงานพูดคุยเรื่องเทคโนโลยีและมาตรฐานทางเทคนิคกับพนักงานของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ไม่ต้องการมีปัญหากับรัฐบาลสหรัฐซึ่งได้สั่งแบนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่างหัวเว่ย แม้รัฐบาลสหรัฐไม่ได้ห้ามพูดคุยเลยก็ตาม
โดยทั่วไปแล้ว ทีมวิศวกรของบริษัทเหล่านี้ รวมถึงของหัวเว่ย มักมีการพบปะกันเพื่อพูดคุยเรื่องมาตรฐานทางเทคนิคสำหรับเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น เทคโนโลยี 5G
ทั้งนี้ หัวเว่ยกำลังเผชิญกับแรงกดดันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อห้ามบริษัทของสหรัฐจากการใช้เทคโนโลยีและบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัทที่สหรัฐเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เอ่ยชื่อหัวเว่ยออกมาตรง ๆ แต่ก็เป็นที่รู้ดีกันว่าการดำเนินการดังกล่าวพุ่งเป้ามายังหัวเว่ยอย่างชัดเจน จนทำให้สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และบริษัทในเครืออีก 70 แห่งไว้ใน "Entity List" ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐเข้าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ