นายอีลอน มัสก์แถลงต่อพนักงานทวิตเตอร์ อิงค์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าซื้อกิจการด้วยข้อตกลงมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยระบุว่า ทวิตเตอร์มีความเป็นไปได้ที่จะล้มละลาย หากไม่เริ่มหาเงินเพิ่ม
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ทันทีที่นายมัสก์ก้าวขึ้นกุมอำนาจทวิตเตอร์ สถานการณ์ภายในบริษัทก็ปั่นป่วนโกลาหล โดยในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เขาได้สั่งเลิกจ้างพนักงานทวิตเตอร์จำนวนมากถึงครึ่งหนึ่ง และปลดผู้บริหารระดับสูงออกไปเกือบหมด ทั้งยังสั่งยกเลิกนโยบายทำงานจากที่บ้าน พร้อมเรียกตัวพนักงานที่เหลือกลับเข้ารายงานตัวที่สำนักงาน
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายโยเอล รอธและนายโรบิน วีลเลอร์ ผู้บริหารระดับสูงสองคนที่เหลืออยู่กำลังจะต้องระเห็จออกจากบริษัทเช่นเดียวกัน แม้มีรายชื่อปรากฏอยู่ในคณะผู้บริหารชุดใหม่ของนายมัสก์ก็ตาม
แม้การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ทำให้ทวิตเตอร์รอดพ้นจากการตรวจสอบของตลาดสาธารณะ แต่นายมัสก์ก็ได้สร้างภาระหนี้สินให้แก่องค์กรถึงเกือบ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งขณะนี้อยู่ในมือของธนาคารย่านวอลล์สตรีท 7 แห่งซึ่งไม่สามารถขายให้กับนักลงทุนได้
ในการแถลงต่อพนักงานทวิตเตอร์ นายมัสก์ได้กล่าวเตือนเชิงกดดันหลายเรื่อง เช่นว่า พนักงานควรทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง สวัสดิการพิเศษจะลดน้อยลง เช่น ยกเลิกอาหารฟรี และเขายังได้ยกเลิกนโยบายที่อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
"ถ้าคุณไม่อยากมา ก็ลาออก" แหล่งข่าวเปิดเผยคำพูดของนายมัสก์
เมื่อถูกถามเรื่องแนวโน้มของการลดจำนวนพนักงาน นายมัสก์ระบุว่า "เราทุกคนจำเป็นต้องดำเนินการจริงจังมากขึ้น"
แหล่งข่าวระบุว่า นายมัสก์เคยมีประวัติใช้คำขู่เกี่ยวกับปัญหาทางการเงินเพื่อจูงใจพนักงาน โดยเขาพยายามเตือนใจพนักงานว่า หากคุณไม่ทำงานหนัก ทวิตเตอร์จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างมาก