ศาลรัฐบาลกลางซานฟรานซิสโกเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (18 ธ.ค.) ว่า กูเกิลยินยอมที่จะดำเนินการให้มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นบนกูเกิล เพลย์สโตร์ (Google Play Store) และตกลงที่จะจ่ายเงิน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามเงื่อนไขของข้อตกลงในคดีต่อต้านการผูกขาดตลาดให้กับรัฐต่าง ๆ และผู้บริโภคในสหรัฐ
กูเกิลจะจ่ายเงิน 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับกองทุนสำหรับผู้บริโภค และอีก 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับกองทุนของรัฐต่าง ๆ ตามข้อตกลง แต่ข้อตกลงนี้จะยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากผู้พิพากษา
ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า ผู้บริโภคที่มีสิทธิ์จะได้รับเงินขั้นต่ำ 2 ดอลลาร์สหรัฐ และอาจได้รับเพิ่มตามจำนวนเงินที่ใช้จ่ายบนกูเกิล เพลย์ ระหว่างวันที่ 16 ส.ค. 2559 ถึง 30 ก.ย. 2566 โดยรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐทั้ง 50 รัฐ รวมถึงเขตโคลัมเบีย เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จิน ได้เห็นชอบร่วมกันในข้อตกลงนี้
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า กูเกิลถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคมากเกินไป โดยตั้งข้อจำกัดที่ไม่เป็นธรรมในการจำหน่ายแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบแอนดรอยด์ อีกทั้งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นสำหรับการทำธุรกรรมในแอปอีกด้วย ซึ่งกูเกิลปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดใด ๆ ตามที่ถูกกล่าวหา
รัฐยูทาห์ซึ่งเป็นโจทก์หลัก และรัฐอื่น ๆ ได้ประกาศข้อตกลงเมื่อเดือนก.ย. แต่รายละเอียดต่าง ๆ ถูกเก็บเป็นความลับ ก่อนหน้าที่จะมีการพิจารณาคดีที่คล้ายคลึงกันระหว่างกูเกิลกับเอปิค เกมส์ (Epic Games) บริษัทผู้ผลิตเกมรายใหญ่ รวมถึงเกมชื่อดังอย่าง ฟอร์ทไนท์ (Fortnite) และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะลูกขุนศาลรัฐบาลกลางแคลิฟอร์เนียมีคำตัดสินเข้าข้างเอปิค เกมส์ โดยสรุปว่ากูเกิล เพลย์ สโตร์ ได้รับประโยชน์จากการผูกขาดตลาด
ทั้งนี้ ในส่วนหนึ่งของข้อตกลงดังกล่าว กูเกิลกล่าวว่า จะดำเนินการให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปโดยตรงจากนักพัฒนาได้อย่างง่ายดายมากขึ้น