สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณายกระดับมาตรการคว่ำบาตรบริษัท เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน (SMIC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปขนาดใหญ่ที่สุดของจีน เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้โรงงานที่ล้ำสมัยที่สุดของ SMIC นำเข้าชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตชิปจากบริษัทสหรัฐได้อีก
ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการมากมาย โดยห้ามบริษัทสหรัฐส่งออกเทคโนโลยีให้แก่ SMIC โดยไม่มีใบอนุญาตพิเศษ เนื่องจาก SMIC ถูกกล่าวหาว่าทำงานกับกองทัพจีน ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ แต่ยังมีช่องโหว่อยู่บ้างเพราะยังเปิดทางให้บริษัทที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วยังคงส่งออกต่อไปได้ตามเดิม
มาตรการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการพัฒนาชิปในประเทศจีน ทว่าดูจะไม่เป็นผลมากนัก เพราะเมื่อปีที่ผ่านมา SMIC และหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับสหรัฐด้วยการเปิดตัวโปรเซสเซอร์มือถือที่ผลิตในจีน โดยใช้เครื่องจักรรุ่นเก่าที่มีอยู่เพื่อผลิตซิลิคอนขั้นสูงยิ่งขึ้น
หัวเว่ยได้เรียกเสียงฮือฮาในอุตสาหกรรมชิป หลังเปิดตัวโปรเซสเซอร์ขนาด 7 นาโนเมตรที่ผลิตโดย SMIC ในสมาร์ทโฟน Mate 60 Pro ซึ่งก่อให้เกิดข้อครหาว่าสหรัฐล้มเหลวในการจำกัดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน
การเปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 60 Pro ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องกลับมาทบทวนให้ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับชิปที่ SMIC ผลิตขึ้นมาให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ซึ่งเป็นเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่จีนเคยผลิตมา โดยนายไมเคิล แม็คคอล สมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกัน มองว่ากระทรวงพาณิชย์สหรัฐควรออกมาดำเนินการให้เร็วกว่านี้ และทางกระทรวงหละหลวมมากเกินไปจนปล่อยให้จีนผลิตชิปเองได้
ลิตา ชอน-รอย ซีอีโอบริษัทวิจัยตลาด เทคเซ็ต (Techcet) เปิดเผยว่า หาก SMIC ถูกคว่ำบาตรเพิ่มแล้ว บริษัทน่าจะหันไปพึ่งซัพพลายเออร์จากจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้แทน โดยอาจกระทบการผลิตราว 3-9 เดือนจนกว่าจะลงตัว