อัยการได้ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาเมื่อวันพุธ (20 พ.ย.) ว่า กูเกิล (Google) ในเครือบริษัทอัลฟาเบท (Alphabet) จำเป็นต้องขายเบราว์เซอร์โครม (Chrome) แชร์ข้อมูลและผลการค้นหาให้บริษัทคู่แข่งเจ้าต่าง ๆ รวมถึงอาจต้องขายแอนดรอยด์ (Android) ด้วย เพื่อยุติการผูกขาดธุรกิจค้นหาออนไลน์
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้กูเกิลถูกควบคุมดูแลเป็นเวลานานถึง 10 ปีโดยคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลรัฐบาลกลางวอชิงตัน หลังจากที่ศาลได้ตัดสินว่ากูเกิลมีความผิดฐานผูกขาดธุรกิจการค้นหาและการโฆษณาที่เกี่ยวข้องในสหรัฐฯ
มาตรการที่กระทรวงยุติธรรม (DOJ) นำเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของคดีใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไปอย่างสิ้นเชิง โดยในปัจจุบันกูเกิลครองส่วนแบ่งการค้นหาออนไลน์สูงถึง 90% ในสหรัฐฯ
"พฤติกรรมที่ผิดกฎหมายของกูเกิลไม่เพียงแต่ทำให้คู่แข่งเสียโอกาสในการใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังทำให้เสียโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรด้านการจัดจำหน่ายที่อาจช่วยให้คู่แข่งรายใหม่ ๆ สามารถเข้าสู่ตลาดด้วยวิธีการใหม่ ๆ และสร้างสรรค์" DOJ และหน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าของรัฐระบุในเอกสารที่ยื่นต่อศาลเมื่อวันพุธ
หนึ่งในข้อเสนอคือการยุติสัญญาผูกขาดที่กูเกิลจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับแอปเปิ้ล (Apple) และบริษัทผู้ผลิตมือถือรายอื่น ๆ เพื่อให้ Google Search เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนแท็บเล็ตและสมาร์ตโฟนของบริษัทเหล่านั้น
ข้อเสนอดังกล่าวยังรวมถึงการห้ามกูเกิลกลับเข้าสู่ตลาดเบราว์เซอร์เป็นเวลา 5 ปี และถ้าวิธีการอื่น ๆ ไม่สามารถทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดได้ ก็จะบังคับให้กูเกิลต้องขายระบบปฏิบัติการมือถือแอนดรอยด์ นอกจากนี้ DOJ ยังเรียกร้องให้กูเกิลห้ามซื้อหรือลงทุนในบริษัทคู่แข่งที่ทำธุรกิจด้านการค้นหา หรือผลิตภัณฑ์ AI ที่ใช้คิวรี (query) หรือเทคโนโลยีด้านการโฆษณา
ภายใต้ข้อเสนอดังกล่าว กูเกิลจะต้องอนุญาตให้คู่แข่งใช้ผลการค้นหาของตนโดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย และแชร์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากผู้ใช้กับคู่แข่งโดยไม่คิดเงิน นอกจากนี้ กูเกิลจะถูกห้ามไม่ให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ที่ไม่สามารถแชร์ให้กับคู่แข่งได้ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว
ทั้งนี้ อมิต เมธา ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ ได้กำหนดวันพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อเสนอเหล่านี้ไว้ในเดือนเม.ย.ปี 2568 อย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายต่อต้านการผูกขาดคนใหม่ของ DOJ อาจเข้ามาแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินคดีนี้ได้