โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเมื่อวันอาทิตย์ (22 ธ.ค.) ว่า เขาอาจเปิดทางให้ติ๊กต๊อก (TikTok) ดำเนินกิจการในสหรัฐฯ ต่อไปชั่วคราว หลังแอปดังกล่าวช่วยให้แคมเปญหาเสียงของเขาทำยอดวิวได้หลายพันล้านวิว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวของทรัมป์ต่อหน้ามวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมาว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการบีบให้ติ๊กต๊อกถอนตัวออกจากตลาดสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเม.ย. วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายกำหนดให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทสัญชาติจีนซึ่งเป็นบริษัทแม่ของติ๊กต๊อก ต้องขายกิจการแอปดังกล่าว โดยให้เหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
ขณะนี้ ทางเจ้าของติ๊กต๊อกได้ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว และศาลฎีกาสหรัฐฯ ก็ได้รับพิจารณาคดีนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากศาลไม่ได้ตัดสินเป็นคุณต่อไบต์แดนซ์และไม่มีการดำเนินการขายกิจการเกิดขึ้น แอปติ๊กต๊อกอาจถูกสั่งแบนในสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ม.ค. หรือเพียงหนึ่งวันก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทรัมป์จะมีแนวทางอย่างไรในการยกเลิกคำสั่งให้ขายกิจการติ๊กต๊อก ซึ่งได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
"ผมคิดว่าเราต้องทบทวนเรื่องนี้กันใหม่ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กัน เราลงแคมเปญในติ๊กต๊อกแล้วได้รับการตอบรับดีเกินคาด ยอดวิวพุ่งกระฉูดหลายพันล้านวิว" ทรัมป์กล่าวในงานอเมริกาเฟสต์ (AmericaFest) ซึ่งเป็นการชุมนุมประจำปีที่จัดโดยกลุ่มอนุรักษนิยมเทิร์นนิงพอยต์ (Turning Point)
"ทีมงานเอากราฟมาให้ผมดู เป็นข้อมูลที่ทำลายสถิติ พอได้เห็นก็ปลื้มใจ ผมเลยคิดว่า 'บางทีเราอาจต้องเก็บเจ้าแอปนี้ไว้อีกสักพัก' " เขากล่าวติดตลก
เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (16 ธ.ค.) ทรัมป์ได้พบกับซีอีโอของติ๊กต๊อก และในการแถลงข่าววันเดียวกันนั้น ทรัมป์กล่าวว่าเขารู้สึก "ดีเป็นพิเศษ" กับติ๊กต๊อก เนื่องจากแอปนี้มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในการหาเสียงของเขา
อย่างไรก็ตาม กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยังคงยืนกรานว่า การที่ติ๊กต๊อกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีนยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นจุดยืนที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ
ด้านติ๊กต๊อกออกมาโต้แย้งว่า กระทรวงยุติธรรมให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างแอปโซเชียลมีเดียนี้กับประเทศจีน โดยชี้แจงว่า ระบบการแนะนำเนื้อหาและข้อมูลผู้ใช้งานของบริษัทถูกจัดเก็บไว้ในสหรัฐฯ บนเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ที่ดำเนินการโดยบริษัทออราเคิล (Oracle) ขณะที่การตัดสินใจเกี่ยวกับการกลั่นกรองเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในสหรัฐฯ นั้นก็ดำเนินการภายในสหรัฐฯ เช่นกัน