เมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ซึ่งเป็นบริษัทโซเชียลมีเดีย ประกาศยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (7 ม.ค.) พร้อมทั้งลดข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นในประเด็นอ่อนไหว เช่น เรื่องผู้อพยพและอัตลักษณ์ทางเพศ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเสียงวิจารณ์จากกลุ่มอนุรักษนิยม ต้อนรับการมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สองในวันที่ 20 ม.ค.นี้
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นการยกเครื่องนโยบายการจัดการเนื้อหาทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของเมตาในช่วงเวลาไม่นานนี้ และเกิดขึ้นในขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัท ส่งสัญญาณว่าต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลใหม่
การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และเธรดส์ ซึ่งเป็น 3 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมตาได้เลื่อนตำแหน่ง โจเอล แคปแลน ผู้บริหารนโยบายจากพรรครีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลก และเมื่อวันจันทร์ (6 ม.ค.) ได้ประกาศแต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของ Ultimate Fighting Championship (UFC) และเพื่อนสนิทของทรัมป์ ให้เข้าดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของบริษัท
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอว่า "เรามาถึงจุดที่เกิดความผิดพลาดและการเซนเซอร์มากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันกลับไปหารากฐานของเรา นั่นคือเสรีภาพในการแสดงออก"
ซักเคอร์เบิร์กยอมรับว่า การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่ผ่านมามีส่วนในการตัดสินใจครั้งนี้ โดยกล่าวว่า "มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ที่จะหันกลับมาให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงออกอีกครั้ง"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในการแถลงข่าว ทรัมป์ก็แสดงความยินดี โดยกล่าวว่า "เมตามาไกลมาก ส่วนตัวเขา (ซักเคอร์เบิร์ก) ก็น่าประทับใจมาก"
เมื่อถูกถามว่า ทรัมป์คิดว่าซักเคอร์เบิร์กทำไปเพราะตอบสนองต่อคำขู่ของเขาหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการขู่ว่าจะจับตัวซีอีโอเข้าคุกด้วย ทรัมป์ก็ตอบว่า "น่าจะใช่"
แทนที่จะใช้โปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการเพื่อจัดการกับโพสต์ที่น่าสงสัยบนแพลตฟอร์มของตน ซักเคอร์เบิร์กวางแผนที่จะใช้ระบบ "คอมมูนิตี โน้ตส์" (Community notes) แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ของอีลอน มัสก์ แทน
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า ต่อไปนี้ เมตาจะเลิกสอดส่องเนื้อหาที่เข้าข่ายสร้างความเกลียดชังและการละเมิดกฎอื่น ๆ โดยอัตโนมัติแล้ว แต่จะตรวจสอบเฉพาะโพสต์ที่ถูกผู้ใช้คนอื่นแจ้งเข้ามาเท่านั้น ส่วนระบบอัตโนมัติของเมตาจะมุ่งเน้นไปที่การลบเนื้อหาที่มีการละเมิดร้ายแรง เช่น การก่อการร้าย การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก มิจฉาชีพ และยาเสพติด
นอกจากนี้ ซักเคอร์เบิร์กยังเสริมอีกว่า บริษัทจะย้ายทีมงานที่ดูแลการร่างและตรวจสอบนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาต่าง ๆ ออกจากรัฐแคลิฟอร์เนียไปยังรัฐเท็กซัสและรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ
แหล่งข่าววงในเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เมตาวางแผนที่จะเลิกโปรแกรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้แจ้งแผนการย้ายที่ทำงานให้กับพนักงาน ซึ่งทำให้เกิดความสับสนและมีการโพสต์ถามกันมากมายบนแอปบลายด์ (Blind) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พนักงานสามารถแชร์ข้อมูลกันได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า จริง ๆ แล้ว งานส่วนใหญ่ของเมตาในการดูแลเนื้อหาในสหรัฐฯ นั้นดำเนินการกันนอกรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่แล้ว
แคปแลน ซึ่งปรากฏตัวในรายการ "Fox & Friends" เมื่อเช้าวันอังคารเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้โพสต์สรุปคำแถลงต่อสาธารณะของเขา ให้พนักงานของเมตาได้อ่านบนเวิร์กสเปซ (Workplace) ซึ่งเป็นฟอรัมภายในของบริษัทเท่านั้น
โฆษกของเมตากล่าวว่า ในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และยังไม่มีแผนที่จะยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่อื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป ซึ่งมีการกำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีอย่างเข้มงวดมากกว่า
ทั้งนี้ เมตากล่าวว่าจะเริ่มทยอยเปิดใช้ฟีเจอร์คอมมูนิตี โน้ตส์ ในสหรัฐฯ ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ และจะพัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้นตลอดทั้งปี