ทนายความของติ๊กต๊อก (TikTok) และไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่สัญชาติจีน ได้ส่งสัญญาณเตือนระหว่างการพิจารณาคดีในศาลฎีกาเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่จะบังคับให้ขายกิจการ มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ ว่า หากสภาคองเกรสสามารถดำเนินการเช่นนี้กับติ๊กต๊อกได้ ก็อาจเกิดขึ้นกับบริษัทอื่น ๆ ได้เช่นกัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กฎหมายดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวนต่อหน้าผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่านเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) กำหนดให้ไบต์แดนซ์ต้องขายติ๊กต๊อกภายในวันที่ 19 ม.ค. มิเช่นนั้นจะต้องถูกแบนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ ทางบริษัทได้ยื่นคำร้องขอให้ชะลอการบังคับใช้กฎหมาย โดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 1 ว่าด้วยการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก
โนเอล ฟรานซิสโก ทนายความของติ๊กต๊อกและไบต์แดนซ์ชี้แจงว่า หากศาลฎีการับรองกฎหมายนี้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้มีการตรากฎหมายที่พุ่งเป้าไปยังบริษัทอื่น ๆ ด้วยเหตุผลในลักษณะเดียวกัน
"โรงภาพยนตร์ AMC เคยเป็นของบริษัทจีน ภายใต้หลักการเดียวกันนี้ สภาคองเกรสก็อาจสั่งให้ AMC เซนเซอร์ภาพยนตร์ที่สภาคองเกรสไม่ชอบ หรือสนับสนุนภาพยนตร์ที่สภาคองเกรสต้องการได้" ฟรานซิสโกกล่าวต่อศาล
ผู้พิพากษาได้สะท้อนท่าทีผ่านคำถามระหว่างการพิจารณาคดีว่า พวกเขามีแนวโน้มจะยืนอยู่ข้างกฎหมายฉบับนี้ แม้ว่าบางท่านจะแสดงความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกที่รัฐธรรมนูญรับรอง
ปัจจุบัน ติ๊กต๊อกมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ราว 170 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ โดยสภาคองเกรสได้ผ่านกฎหมายนี้เมื่อปีที่แล้วด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนท่วมท้นจากทั้งสองพรรค เนื่องจากสมาชิกสภามีความกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจใช้ติ๊กต๊อกเป็นเครื่องมือสอดแนมชาวอเมริกันและสร้างอิทธิพลทางความคิดอย่างแนบเนียน
เจฟฟรีย์ ฟิชเชอร์ ทนายความของเหล่าผู้สร้างคอนเทนต์บนติ๊กต๊อกซึ่งร่วมคัดค้านกฎหมายนี้ด้วย ได้ตั้งข้อสังเกตระหว่างการพิจารณาคดีว่า สภาคองเกรสกำลังจับตามองติ๊กต๊อกมากกว่าผู้ให้บริการค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่อื่น ๆ ของจีน อย่างเช่นเทมู (Temu)
"ถ้าสภาคองเกรสกังวลเรื่องความเสี่ยงร้ายแรงเหล่านี้จริง ๆ แล้วทำไมถึงมองข้ามเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอย่างเทมูที่มีผู้ใช้ชาวอเมริกันถึง 70 ล้านคนไปได้ ... ชวนให้สงสัยอย่างยิ่งว่า ทำไมถึงเลือกเล่นงานเฉพาะติ๊กต๊อก แต่ไม่รวมบริษัทอื่น ๆ ที่มีผู้ใช้นับสิบล้านคนถูกดึงข้อมูลไป และอาจถูกควบคุมโดยจีนได้ไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ" ฟิชเชอร์ตั้งคำถาม
อนึ่ง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตได้ลงนามในกฎหมายฉบับนี้ และรัฐบาลไบเดนก็กำลังปกป้องกฎหมายดังกล่าวในชั้นศาล โดยกำหนดเส้นตายการขายกิจการไว้ที่วันที่ 19 ม.ค. เพียงหนึ่งวันก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ผู้คัดค้านการแบนติ๊กต๊อก จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสืบต่อจากไบเดน
อลิซาเบธ เพรโลการ์ อัยการสูงสุดที่แก้ต่างให้รัฐบาลไบเดนในการปกป้องกฎหมายนี้ ชี้แจงว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายในวันที่ 19 ม.ค. เพื่อกดดันให้ไบต์แดนซ์ดำเนินการขายกิจการ
"ชาติศัตรูย่อมไม่มีทางยอมปล่อยมือจากการควบคุมช่องทางสื่อสารมวลชนในสหรัฐฯ ไปง่าย ๆ" เพรโลการ์กล่าว
"เมื่อมาตรการจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้ ดิฉันเชื่อว่าจะเปลี่ยนมุมมองของไบต์แดนซ์ในการพิจารณาเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง และอาจเป็นแรงกระตุ้นที่จำเป็นให้บริษัทเดินหน้าขายกิจการตามที่สภาคองเกรสคาดหวัง" เพรโลการ์กล่าว
ทั้งนี้ หากคำสั่งแบนมีผลในวันที่ 19 ม.ค. แอปเปิ้ล (Appple) และกูเกิล (Google) จะไม่สามารถเปิดให้ดาวน์โหลดติ๊กต๊อกได้อีกต่อไป แม้ผู้ใช้เดิมจะยังคงเข้าถึงแอปได้ก็ตาม ทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และติ๊กต๊อกต่างลงความเห็นว่า แอปจะค่อย ๆ เสื่อมประสิทธิภาพลงจนไม่สามารถใช้งานได้ในที่สุด เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ จะไม่สามารถให้บริการสนับสนุนได้