แอปพลิเคชัน AI Assistant ของ DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีน ก้าวขึ้นเป็นแอปฟรีอันดับหนึ่งบน Apple App Store ในสหรัฐฯ แซงหน้า ChatGPT ไปแล้วเรียบร้อยในวันนี้ (27 ม.ค.)
เว็บไซต์ TechCrunch รายงานว่า DeepSeek ได้สร้างกระแสฮือฮาในซิลิคอนวัลเลย์ หลังจากเปิดตัวโมเดลการให้เหตุผล DeepSeek-R1 เวอร์ชันโอเพนซอร์สเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางถึงผลกระทบต่อความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ และทิศทางของอุตสาหกรรม AI ในอนาคต
นักลงทุนร่วมทุนชื่อดัง มาร์ก แอนเดรียสเซน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า DeepSeek เป็น "หนึ่งในความก้าวหน้าที่น่าทึ่งและน่าประทับใจที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลย"
โมเดล R1 ของ DeepSeek มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่าโมเดล o1 ของ OpenAI ในการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐาน AI บางรายการ โดยบริษัทอ้างว่าโมเดลของตนมีต้นทุนการฝึกฝนเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแตกต่างจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ต้องใช้เงินทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในการฝึกฝนโมเดลของตนเอง
นอกจากนี้ ความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่ห้ามการจำหน่ายชิปประมวลผลขั้นสูงให้แก่บริษัทจีน โดย MIT Technology Review ได้เขียนบทความว่า ความสำเร็จของบริษัทแสดงให้เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตร "กำลังผลักดันให้สตาร์ตอัปอย่าง DeepSeek พัฒนานวัตกรรมในแนวทางที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ การรวมทรัพยากร และความร่วมมือ"
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง จาก DeepSeek ได้แจ้งต่อผู้นำระดับสูงของจีนว่า ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง
ส่วนนีล โคสลา ซีอีโอของ Curai ได้ให้ความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยโพสต์ผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า DeepSeek เป็น "ปฏิบัติการทางจิตวิทยาของรัฐบาลจีน" และ "โกหกว่าต้นทุนต่ำเพื่อจะได้ตั้งราคาถูก ๆ แล้วหวังให้ทุกคนหันมาใช้ [เพื่อ] จะได้ทำลายความสามารถในการแข่งขันด้าน AI ของสหรัฐฯ"
ทั้งนี้ มีหมายเหตุจาก Community Note แนบมากับข้อความของโคสลา โดยชี้ให้เห็นว่า โคสลามิได้แสดงหลักฐานใด ๆ สนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และบิดาของเขา วิโนด โคสลา เป็นนักลงทุนใน OpenAI
ขณะเดียวกัน นักข่าว โฮลเกอร์ แชพิตซ์ ได้เสนอความเห็นว่า DeepSeek "อาจเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ" หากบริษัทจีนสามารถสร้างโมเดลล้ำสมัยได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าถึงชิปประมวลผลขั้นสูง ก็จะนำมาซึ่งคำถามถึง "ความคุ้มค่าของเงินลงทุนจำนวนมหาศาลหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ทุ่มลงไปในอุตสาหกรรมนี้"
อย่างไรก็ตาม แกรี แทน ซีอีโอของ Y Combinator ได้โต้แย้งว่าความสำเร็จของ DeepSeek จะเป็นผลดีต่อคู่แข่งในสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ เขาเขียนข้อความบนเอ็กซ์ว่า "ถ้าการเทรนโมเดลมันถูกลง เร็วขึ้น และง่ายขึ้น ความต้องการใช้งาน AI ในภาคปฏิบัติ (inference) ก็จะยิ่งโตและเร่งตัวเร็วขึ้นไปอีก ซึ่งก็จะทำให้มั่นใจได้ว่า ทรัพยากรด้านการประมวลผลจะถูกนำไปใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ"
ทางด้านยานน์ เลอคัน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ AI ของ Meta ได้โต้แย้งว่า อย่าไปมองเรื่อง DeepSeek ในมุมของการแข่งขันระหว่างจีน-สหรัฐฯ โดยเสนอว่าบทเรียนที่แท้จริงคือ "โมเดลโอเพนซอร์สกำลังก้าวขึ้นมาเหนือกว่าโมเดลที่มีกรรมสิทธิ์แล้ว"
"DeepSeek ได้ประโยชน์จากการวิจัยแบบเปิดเผยและโอเพนซอร์ส (อาทิ PyTorch และ Llama จาก Meta) พวกเขาได้พัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ และต่อยอดจากผลงานของผู้อื่น เนื่องด้วยผลงานของพวกเขาได้รับการเผยแพร่และเป็นโอเพนซอร์ส ทุกคนจึงสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ต่อได้" เลอคันเขียนข้อความบนลิงด์อิน