ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐกำลังเร่งรับมือกับการเปิดตัวโมเดล AI จากบริษัทดีปซีค (DeepSeek) ของจีน เนื่องจากเกิดความวิตกว่าลูกค้าอาจพากันหันไปรับข้อเสนอที่มีราคาถูกกว่าจาก DeepSeek
ทั้งนี้ บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ประกาศตั้งวอร์รูมถึง 4 ห้องภายในแผนก AI ของบริษัทเพื่อรับมือ DeepSeek
ส่วนนายสัตยา นาเดลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป ระบุใน X ว่า "ปรากฏการณ์ DeepSeek เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ Jevons paradox โดยเมื่อ AI เริ่มมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้มากขึ้น เราจะพบว่าการใช้ AI พุ่งขึ้น และทำให้ AI กลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทหนึ่งที่เราไม่รู้จักพอ"
ทั้งนี้ Jevons paradox เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ระบุว่า การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะนำไปสู่ความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ต้นทุนที่ลดลงจากการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวก็อาจทำให้มีการบริโภคมากขึ้นและเพิ่มการใช้ทรัพยากร แทนที่จะลดลงตามที่มีการคาดหวังไว้
หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐต่างดิ่งลงอย่างหนักในวันนี้ โดย Nvidia ทรุดตัวลง 10%, Broadcom ร่วงลง 12%, AMD ลบ 4%, Microsoft รูดลง 4.3% ส่วน Amazon และ Meta Platforms ต่างปรับตัวลงมากกว่า 2%
DeepSeek เป็นธุรกิจสตาร์ตอัปของจีน ซึ่งมีอายุเพียง 1 ปี แต่ได้เปิดตัวโมเดล AI ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าแชตบอตระดับโลกอย่าง ChatGPT ของ OpenAI โดยใช้ต้นทุนน้อยกว่าและสามารถทำงานบนชิปที่มีขีดความสามารถต่ำกว่า
DeepSeek เปิดตัวโมเดล AI แบบ open-source ในเดือนธ.ค.2567 โดยระบุว่าใช้เวลาในการพัฒนาเพียง 2 เดือน และใช้ต้นทุนต่ำกว่า 6 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ใช้ชิป H800s ซึ่งเป็นชิปประสิทธิภาพต่ำของ Nvidia
การเปิดตัวดังกล่าวของ DeepSeek สร้างความตื่นตระหนกต่อความเป็นผู้นำโลกในธุรกิจ AI ของสหรัฐ และเกิดการตั้งคำถามต่อการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีได้ใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาโมเดล AI และการตั้งศูนย์ดาต้าเซนเตอร์ในช่วงที่ผ่านมา