กองทัพอินเดียแถลงในวันนี้ (28 เม.ย.) ว่า ทางอินเดียได้ใช้อาวุธขนาดเล็กยิงตอบโต้กับทางฝั่งปากีสถาน เมื่อช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ (27 เม.ย.) ตลอดแนวพรมแดนโดยพฤตินัยความยาวราว 740 กิโลเมตร ซึ่งแบ่งแยกพื้นที่แคชเมียร์ในส่วนการปกครองของอินเดียและปากีสถาน โดยทั้งสองฝ่ายยิงปะทะกันเป็นคืนที่ 4 ติดต่อกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม กองทัพอินเดียไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมและไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุปะทะดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังเกิดเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 22 เม.ย. โดยกลุ่มติดอาวุธได้กราดยิงนักท่องเที่ยวในเขตปาฮัลกัม ในแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย คร่าชีวิตไปถึง 26 ราย
อินเดียได้ระบุตัวผู้ต้องสงสัย 2 ใน 3 คนว่าเป็นชาวปากีสถาน และกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายในแคชเมียร์ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อินเดียมีมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปากีสถานได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง และเรียกร้องให้มีการสอบสวนที่เป็นกลางเพื่อหาข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกัน เพื่อตอบโต้เหตุโจมตีและไล่ล่าผู้ก่อเหตุ กองกำลังความมั่นคงของอินเดียได้เปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ในพื้นที่แคชเมียร์ฝั่งอินเดีย โดยมีการตรวจค้นบ้านเรือนและพื้นที่ป่าไปแล้วเกือบ 1,000 แห่ง ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อสอบปากคำราว 500 คน และมีการรื้อถอนบ้านเรือนไปแล้วอย่างน้อย 9 หลัง นอกจากนี้ กองทัพอินเดียยังได้จัดการฝึกซ้อมทางทหารหลายครั้งทั่วประเทศ ซึ่งบางส่วนเป็นการฝึกตามปกติ
ความขัดแย้งครั้งนี้ได้ลุกลามไปสู่มาตรการตอบโต้ทางการทูตและเศรษฐกิจ โดยอินเดียได้ระงับข้อตกลงสำคัญว่าด้วยการแบ่งปันน้ำในแม่น้ำสินธุ ขณะที่ปากีสถานปิดน่านฟ้าห้ามเครื่องบินอินเดียผ่าน
ท่ามกลางปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ ซึ่งนับว่ารุนแรงที่สุดในรอบเกือบสองทศวรรษ บรรดาผู้นำทางการเมืองในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ต่างออกมาเรียกร้องให้ทางการใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์จะไม่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาล
"ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่อาจสร้างความแปลกแยกให้กับประชาชน จงลงโทษผู้กระทำผิด อย่าได้ปรานี แต่ต้องไม่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย" โอมาร์ อับดุลลาห์ มุขมนตรีรัฐจัมมูและแคชเมียร์ โพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ (X) เมื่อวันเสาร์ (26 เม.ย.)
ในทำนองเดียวกัน อดีตมุขมนตรีอีกรายก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดีย "ใส่ใจดูแลไม่ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน เพราะความรู้สึกแปลกแยกจะยิ่งเข้าทางเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการสร้างความแตกแยกและความหวาดกลัว"
ด้านกลุ่มติดอาวุธ "แนวร่วมต่อต้านแคชเมียร์" หรือ The Resistance Front ซึ่งตอนแรกอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีดังกล่าว ได้ออกมากลับลำปฏิเสธความเกี่ยวข้องในภายหลัง โดยอ้างว่าบัญชีโซเชียลมีเดียถูกแฮก