โฆษก กล่าวว่า "ทางรัสเซียได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่นายชัค เฮเกล รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับมาตรการที่มีนายบารัค โอบามา เป็นผู้สั่งการ ซึ่งได้กำหนดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมกองกำลังทหารสหรัฐสำหรับการตอบโต้กับซีเรียได้ทุกเมื่อ"
นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่า ยังมีการเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันที่ "ปารีส ลอนดอน และเมืองหลวงอื่นๆ โดยไม่พิจารณาความเป็นไปได้ที่ว่าการใช้อาวุธเคมีในอีสเทิร์น โกวตา เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่กองกำลังทหารซีเรียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการนั้น อาจเป็นส่วนหนึ่งในแผนปลุกปั่นของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล"
ด้านฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียอ้างว่า กองกำลังของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียได้คร่าชีวิตผู้คนไปราว 1,300 รายในเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมีแถบชานกรุงดามัสกัส ซึ่งเป็นเมืองหลวงของซีเรียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามรัฐบาลซีเรียได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
รัสเซียเชื่อว่า ความวุ่นวายเกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมีที่กำลังปะทุขึ้นนี้ "มีจุดประสงค์อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญอาวุธเคมีของยูเอ็นสามารถเข้าแทรกแซงได้ ซึ่งการดำเนินงานของยูเอ็นได้เริ่มขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว"
โฆษกยังเสริมว่า เหตุการณ์นี้เป็น "สิ่งที่เตือนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่อิรักถูกกล่าวหาว่ามีอาวุธทำลายล้างสูงอยู่ในครอบครอง ซึ่งสหรัฐได้ใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการเลี่ยงข้อตกลงของสหประชาชาติ และเข้าบุกอิรักอย่างไม่ยั้งคิดจนเกิดผลกระทบต่างๆที่ทุกคนตระหนักได้มาจนถึงวันนี้"
เขาเตือนว่า การเคลื่อนไหวทางทหารใดๆที่เป็นการเลี่ยงข้อตกลงของสหประชาชาตินั้นอาจ "บั่นทอนความพยายามในระดับนานาชาติ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาทางการทูตในวิกฤติซีเรีย และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤติอยู่แล้ว" สำนักข่าวซินหัวรายงาน