คณะตรวจสอบอาวุธยูเอ็นได้ดำเนินการมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย แม้ว่าสหรัฐจะปักใจเชื่ออยู่แล้วว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้กระทำความผิด โดยปราศจากหลักฐานใดๆที่สามารถยืนยันข้อกล่าวหานี้ได้
ก่อนที่ยูเอ็นจะเปิดเผยผลการสำรวจนั้น การใช้กำลังทหารของสหรัฐไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ประชาคมโกลกต่างเข้าใจว่า ผู้ที่จะเป็นผู้นำในการดำเนินการตอบโต้ระดับนานาประเทศในวิกฤตซีเรียควรเป็นยูเอ็น ไม่ใช่สหรัฐ เพราะว่าองค์กรระดับโลกที่มีประเทศสมาชิกมากที่สุดจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการดำเนินการวิเคราะห์ได้ตรงตามจุดประสงค์ และดำเนินการได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด
หากยูเอ็นโจมตีรัฐเอกราช นอกจากจะเป็นการกระทำที่สวนทางกับบรรทัดฐานสากลแล้ว ยังจะก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ยืดเยื้อ เนื่องจากการเคลื่อนไหวอยู่ฝ่ายเดียวมักจะไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาที่ตายตัว
ทว่าในอดีตที่ผ่านมาบ่งชี้ให้เห็นว่า สหรัฐมักจะเลือกเดินหน้าโจมตีรัฐเอกราช แม้จะขัดต่อบทบัญญัติ หรือข้อพิสูจน์ของยูเอ็นก็ตาม ดังจะเห็นได้จากกรณีที่เกิดขึ้นกับอิรัก
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามที่ 2 ว่า: สหรัฐจะทำอะไรเพื่อจะได้ใช้กำลังทางการทหาร? ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐจะไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด
เพื่อที่จะโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียหรือ? เห็นได้ชัดว่าสหรัฐจะตอบว่า "ไม่"
เจ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า ทางเลือกที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาเลือกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง"
ขณะที่หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า โอบามาอาจจะใช้กำลังทหารในวงจำกัดต่อซีเรีย ซึ่งรวมถึงการยิงขีปนาวุธในทะเล หรือเครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกลด้วย
เพื่อปกป้องประชาชนในซีเรียหรือ?
นั่นเป็นคำตอบของนายจอห์น เคอร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ แม้ว่าจะไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ยังไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด การปกป้องประชาชนก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการโจมตีของสหรัฐ
การเข้าแทรกแซงประเทศอื่นไม่ว่ากรณีใดมีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงมากกว่าจะเป็นการช่วยยุติปัญหา พลเมืองชาวซีเรียที่สหรัฐอ้างว่าจะปกป้อง อาจเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามประชาชนอันยาวนานครั้งนี้
เพื่อจะให้บทเรียนแก่อัสซาดหรือ? เพื่อแสดงให้เห็นว่าสหรัฐกังวลเกี่ยวกับ "ขีดเส้นตาย" หรือ? การที่สหรัฐสร้างความเสี่ยงให้กับความมั่นคงในระดับภูมิภาค และใช้ภาษีประชาชนชาวอมเรกันนับล้านดอลลาร์เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่า "ฉันจริงจังนะ" ถือเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างมาก
สุดท้ายนี้ สหรัฐก็ยังไม่ได้ประเมินผลกระทบที่จะตามมา
มันอาจจะไม่เป็น "หายนะ" ดังเช่นคำกล่าวของนายอญาโตลลอฮ์ อะลี โฮไซนี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิรักก็ได้ แต่ผลพวงจากการโจมตีอาจมีความรุนแรง
ข้อพิพาทระดับภูมิภาคอาจเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันที หากเกิดการโจมตีของสหรัฐ กองกำลังหารซีเรีย และอาจรวมถึงพันธมิตรกลุ่มฮิสบอลเลาะห์ของซีเรีย อาจยิงขีปนาวุธเข้าสู้อิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ออกเสียงให้ตอบโต้ซีเรียด้วย "กองกำลังทหาร" ก็เป็นได้ การโจมตีตอบโต้อิสราเอลอาจเป็นแนวนสู่การปะทะขั้นรุนแรงในตะวันออกกลางในไม่ช้า
ขณะเดียวกัน ผลกระทบที่ค่อยๆเพิ่มเข้ามาเป็นระลอกอาจส่งผลร้ายแรงต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง
การโจมตีที่ใกล้จะเกิดขึ้นได้เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกแล้ว โดยที่ตลาดหุ้นทั่วโลกพากันปรับตัวลดลงตั้งแต่เมื่อวันอังคาร ขณะที่ราคาทอง และน้ำมันทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน
ทั้งนี้ สหรัฐย้ำว่าต้องการ "วิธีแก้ปัญหาทางการเมืองแบบถาวร และครอบคลุม" ไม่ใช่การส่งกองกำลังทหารเข้าจัดการกับวิกฤตการณ์ในซีเรีย