ทั้งนี้ ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า สหรัฐจะระงับการออกวีซ่า และอายัดสินทรัพย์ของสหรัฐที่มีความเกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวของรัสเซียในยูเครน
ทำเนียบขาวระบุในแถลงการณ์ว่า การระงับวีซ่าของกลุ่มเจ้าหน้าที่และบุคคลที่มีสถานภาพไม่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจของสหรัฐที่ปฏิเสธการอนุมัติวีซ่าให้กับ “ผู้มีส่วนรับผิดชอบหรือผู้มีส่วนร่วมในการคุกคามอำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน"
ในส่วนคำสั่งของฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ อนุมัติมาตรการคว่ำบาตรบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐได้ดำเนินการตอบโต้รัสเซียบางด้าน รวมถึงการระงับการเจรจาทางการค้าและการลงทุนระดับทวิภาคีกับรัสเซีย และชะลอการเข้าร่วมทางทหาร-ทหาร
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนเป็นการก่อรัฐประหาร และชี้แจงว่าการส่งทหารเข้าไปในยูเครนเป็นมาตรการสุดท้ายในการแก้ไขวิกฤตดังกล่าว
นายลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ได้ย้ำจุดยืนของรัสเซียเมื่อวันพุธว่า สหภาพยุโรป (อียู) ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการทำสัญญาที่ลงนามไว้เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ซึ่งคาดการณ์ว่าการปฏิรูปตามระบอบประชาธิปไตยที่ควรดำเนินการในยูเครน ควรเป็นพื้นฐานในการทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ สหรัฐยังเห็นพ้องกับกลุ่มประเทศ G7 อื่นๆ ในการชะลอการเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมกำหนดการการประชุมสุดยอด G8 ที่เมืองโซชิของรัสเซีย ในเดือนมิ.ย.
แถลงการณ์ยังระบุว่า ในขณะที่เดินหน้าการคว่ำบาตร สหรัฐได้แสวงหาการร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาทางการทูต ที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดของสถานการณ์ และคืนอำนาจอธิปไตยให้ยูเครน สำนักข่าวซินหัวรายงาน