รายงานเมื่อเร็วๆนี้ชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเธอ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองคนอื่นๆได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังจากที่ถูกกักตัวไว้ชั่วคราวโดยกองทัพที่เข้ายึดอำนาจรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดี เงาแห่งความรุนแรงยังคงยังส่อเค้าว่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากกลุ่มผู้สนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์และพันธมิตรทางการเมือง หรือที่รู้จักกันในชื่อกลุ่มเสื้อแดงนั้น ได้เดินขบวนประท้วงต่อต้านการรัฐประหารทั้งในกรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นในภาคเหนือ ในขณะที่ยังมีการรายงานเรื่องการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและทหาร
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม การแบ่งแยกทางการเมืองของ 2 กลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันนั้นก็ได้ถลำลึกลงไปแล้ว และทำให้สังคมไทยแตกแยก
จีนหวังว่า จะได้เห็นไทยมีสันติภาพและเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งด้วยตนเอง ที่ผ่านมา จีนได้ผลักดันทุกๆฝ่ายในไทยให้อดกลั้นและหันหน้าเจรจา ปรึกษาหารือกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะฟื้นฟูประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววัน
ในขณะที่ภาวะสับสนทางการเมืองในไทยยังไม่สิ้นสุดลงนี้ ก็เป็นธรรมดาที่บางส่วนอาจจะกังวลว่า ความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างไทยและจีนอาจจะได้รับผลกระทบ
แต่ความกังวลเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล เนื่องจากความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างทั้ง 2 ประเทศสามารถรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งมีการรัฐประหารมาแล้วเกือบ 20 ครั้ง
ทั้ง 2 ประเทศ มีเหตุผลอันดัที่จะคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดี
การแลกเปลี่ยนระหว่างจีนและไทย รวมทั้งการเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และชาติพันธ์ สามารถติดตามย้อนหลังได้ไปจนถึงสมัยโบราณกาล และได้มีการปรับเปลี่ยนจนมาสู่รูปแบบของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนฉันท์ครอบครัวของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
ปัจจุบัน ชาวไทยจำนวนมากจากทั้งหมด 67 ล้านรายมีบรรพบุรุษที่สืบเชื้อสายมาจากชาวจีน และชาวไทยเหล่านี้ก็มีบทบาทที่สำคัญในเวทีการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ
รัฐบาลของไทยก็มีนโยบายที่เป็นมิตรและน่าพึงพอใจกับจีนมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายไดี้ร่วมมือกันมากขึ้นทั้งในด้านการค้า การลงทุน การศึกษา และวัฒนะรรม จีนได้กลายมาเป็นต้นตอรายใหญ่ที่สุดของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนไทย ซึ่งสูงถึง 4.7 ล้านรายในปีที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นแหล่งลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 จากต่างประเทศ
เมื่อเดือนเม.ย. 2555 จีนและไทยได้ยกระดับความสัมพันธ์เข้าสู่การเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์และความร่วมมือ
ดังจะเห็นได้จากการที่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนได้กล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐสภาในระหว่างการเดินทางเยือนไทยเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้วว่า ทั้ง 2 ประเทศนั้นผูกพันกันฉันท์บุคคลในครอบครัว และความเป็นเพื่อนของทั้ง 2 ประเทศก็ฝังลึกลงในหัวใจของประชาชน 2 ประเทศ
มุมมองโดยสรุปที่มีต่อสังคมไทยนั้น ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรและความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันกับจีนจะยังคงยืนยงต่อไปไม่ว่าการเมืองจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม
นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะกล่าวว่า ไม่ว่าการเมืองฝ่ายใดจะขึ้นมามีอำนาจในไทย ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนก็คงจะไม่ถูกบั่นทอนไป เพราะเดิมพันในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นเดิมพันที่สูงเหลือเกิน
โดย ลี่ ลี่ นักเขียนจากสำนักข่าวซินหัว