ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามาออกแถลงการณ์ว่า เขาได้ออกคำสั่งให้คว่ำบาตรบุคคลและการดำเนินงานทั้งหมดในไครเมีย ด้วยการอายัดสินทรัพย์ที่อยู่ขอบเขตอำนาจของสหรัฐ และห้ามไม่ให้บุคคลหรือสินทรัพย์ของไครเมียเข้ามาลงทุนในเขตแดนของสหรัฐ
ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า สหรัฐได้คว่ำบาตรผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวยูเครนและรัสเซียรวม 24 คน รวมถึงกลุ่มติดอาวุธ
ความเคลื่อนไหวของสหรัฐมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่สหภาพยุโรป (อียู) ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม "อย่างมีนัยสำคัญ" ในด้านการลงทุน การบริการ และการค้ากับไครเมีย และเซวาสโตโพล โดยระบุว่าการลงทุนในไครเมีย หรือเซวาสโตโพล ถือว่าผิดกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป โดยมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่จะส่งผลให้ชาวยุโรปและบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศสมาชิกอียูไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือนิติบุคคลในไครเมีย ตลอดจนจัดหาเงินทุนให้บริษัทในไครเมีย หรือบริการที่เกี่ยวข้องได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในอียูจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจบริการในไครเมีย หรือเซวาสโตโพล โดยเฉพาะธุรกิจเรือสำราญยุโรปอาจไม่สามารถแวะเทียบท่าในคาบสมุทรไครเมียได้อีก ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน มาตรการนี้มีผลบังคับใช้กับเรือทุกลำของยุโรป หรือเรือที่ติดธงชาติของสมาชิกอียู อย่างไรก็ดี สัญญาเดินเรือในปัจจุบันจะได้รับการอนุโลมให้มีผลต่อไปได้จนถึงวันที่ 20 มีนาคมปีหน้า
ผลการลงประชามติเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาระบุว่า 96.77% ของชาวไครเมียที่ใช้สิทธิออกเสียงนั้น ต้องการที่จะแยกตัวเองออกจากยูเครน และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัสเซียได้ผนวกรวมไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศแล้ว แต่ชาติมหาอำนาจจากทั่วโลกล้วนแล้วแต่ไม่เห็นด้วยกับการลงประชามติในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ สหภาพยุโรป หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น