ทั้งนี้ เชื่อกันว่าออสเตรเลียได้ตัดสินใจเรื่องดังกล่าว ภายหลังบรรดารัฐมนตรีระดับสูงได้เริ่มหารือกันว่าออสเตรเลียควรจะทบทวนจุดยืนก่อนหน้านี้หรือไม่ และจะเดินรอยตามอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี เพื่อเข้าร่วมกับ AIIB ในฐานะประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งหรือไม่
เมื่อปีที่แล้ว ออสเตรเลีย รวมถึงสหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เคยปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุน AIBB โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานด้านธรรมาภิบาล ความโปร่งใส สภาพแวดล้อม และความรับผิดชอบของธนาคาร
สื่อออสเตรเลียสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลออสเตรเลียที่จะเข้าร่วมจัดตั้งธนาคาร แต่ถึงกระนั้น แทนที่จะอธิบายให้ผู้อ่านทราบว่า AIIB จะเป็นประโยชน์กับออสเตรเลียอย่างไรบ้าง สื่อกลับไปมุ่งเน้นที่นัยทางการเมืองของ AIIB และผลกระทบที่มีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ ออสเตรเลีย และจีนมากกว่า
นสพ.ดิ ออสเตรเลียนชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงท่าทีของรัฐบาลออสเตรเลียถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในแง่ของความสัมพันธ์ทางการทูตกับเอเชียที่ถดถอยและไร้ซึ่งความสามารถ
มุมมองดังกล่าวได้มองข้ามกระแสการตอบรับที่ทั่วโลกมีต่อ AIIB แม้กระทั่งประเทศพันธมิตรของสหรัฐเองก็ควรจะมีส่วนในการออกแบบธนาคารให้เป็นสถาบันการเงินระดับพหุภาคี โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย และช่วยให้ประเทศต่างๆมีงบดุลที่ดี ด้วยโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก
ข้อมูลสถิติจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ชี้ว่า ในช่วงปี 2553 - 2563 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องการเงินลงทุนประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ระบบขนส่ง พลังงาน และโทรคมนาคม
กัว เฉิงเซียง นักเศรษฐศาสตร์มหภาคของสถาบัน Australian Institute of Innovative Finance กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับประเทศพัฒนาแล้วด้วยเช่นกัน เนื่องจากประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องพัฒนาโครงการพื้นฐานที่มีอยู่เดิมและล้าสมัยไปแล้ว
นายกัวกล่าวว่า ข้อมูลจากรัฐบาลออสเตรเลียชี้ให้เห็นว่า ออสเตรเลียจำเป็นต้องใช้เงินประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น ระบบขนส่ง ชลประทานในชนบท และอื่นๆ
ปีเตอร์ ดรายส์เดล หัวหน้าหน่วยงาน East Asian Bureau of Economic Research ของ ANU กล่าวว่า ออสเตรเลียและประเทศต่างๆทั่วทั้งภูมิภาคจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการลงทุนผ่านทาง AIIB เนื่องจากเป็นการลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นสำหรับการรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค
ทั้งนี้ AIIB ไม่ใช่คู่แข่งของ ADB และธนาคารโลกแต่อย่างใด
สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียที่ขาดดุลอยู่ถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์นั้น ADB เองสามารถปล่อยกู้ในส่วนนี้ได้เพียงประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
สหรัฐตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับมาตรฐานธรรมาภิบาลของ AIIB และได้เน้นย้ำความสำคัญของสถาบันการเงินระดับพหุภาคีอย่างธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในฐานะตัวแทนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบการเงินโลกปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นสถาบันเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะปราศจากปัญหา
การปฏิรูปเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในสถาบันเหล่านี้นั้น จะสะท้อนให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงของโลกนั้นได้ถูกปิดกั้นจากสภาคองเกรสสหรัฐตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประเทศเศรษฐกิจอื่นๆเช่นกัน
จีนมีใจที่เปิดกว้างเกี่ยวกับการต้อนรับประเทศสมาชิกเข้าสู่ AIIB แม้การเปิดรับประเทศสมาชิกใหม่ๆ จะทำให้ส่วนแบ่งของจีนในธนาคารแห่งนี้ลดลงก็ตาม และแน่นอนว่า การได้ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินอย่างอังกฤษและออสเตรเลียเข้ามามีส่วนร่วมในธนาคาร จะช่วยปรับปรุงมาตรฐานของธนาคารในหลายด้านด้วยกัน
ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตการเงินนั้นยังคงเปราะบางและไม่เสถียร ดังนั้น ประเทศต่างๆจึงย่อมต้องคว้าโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของตน ในแนวทางที่รวดเร็วและยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีการพูดถึงกันอย่างมากมายเกี่ยวกับการเข้าร่วม AIIB แม้แต่ประเทศที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเข้าร่วมอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐ
หากละทิ้งแนวความคิดแบบสงครามเย็น แล้วมาร่วมกันพัฒนาเอเชีย และผลักดันการขยายตัวของโลก ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่สหรัฐและญี่ปุ่นจะปฏิเสธ AIIB
ซู ไห่จิง จากสำนักข่าวซินหัวรายงาน