ในระหว่างการเดินทางเยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของรมว.กลาโหมสหรัฐที่พึ่งจะสิ้นสุดลงไปเมื่อเร็วๆนี้ นายคาร์เตอร์ กล่าวว่า เขามีความวิตกอย่างยิ่งเกี่ยวกับความพยายามที่จะอ้างกรรมสิทธิของจีนในบริเวณทะเลจีนใต้เป็นอย่างยิ่ง
การแสดงความคิดเห็นที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบด้วยการกล่าวหาจีนเรื่องการจัดตั้งเขตพื้นที่ที่อาจจะเป็นพื้นที่ทางการทหารในพื้นที่ห่างไกลเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า โครงการเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับหมู่เกาะหรือน่านน้ำที่เป็นดินแดนของจีน แต่ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าสหรัฐไม่ได้ปฏิบัติตามพันธสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดในประเด็นทะเลจีนใต้
สหรัฐละเมิดคำมั่นของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเด็นที่ว่าจะเป็นกลางในเรื่องความขัดแย้งในบริเวณทะเลจีนใต้ ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐไม่เคยพลาดที่จะพูดถึงการคุกคามของจีนเมื่อเอ่ยถึงประเด็นดังกล่าว อีกทั้งยังพยายามที่จะผลักดันให้ประเทศอื่นๆต่อต้านจีน
พฤติกรรมเช่นนี้ถูกกระตุ้นโดยสมมติฐานของสหรัฐที่ว่า จีน ซึ่งมีอิทธิพลในเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน อาจจะหาทางคว่ำอำนาจของสหรัฐในเวทีการเมืองโลก รวมทั้งศักยภาพทางทหารที่แข็งแกร่งของสหรัฐในหลายภูมิภาค
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่ว่า จีนให้ความเคารพกับคำมั่นของตนเองที่จะพัฒนาประเทศอย่างสันติ และไม่ต้องการแข่งอิทธิพลกับประเทศใดๆ รวมทั้งสหรัฐ
แต่สหรัฐเองกลับวิตกกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับจีน บางทีอาจจะเป็นเพราะสหรัฐต้องบอบช้ำไปกับความรู้สึกไม่มั่นคง ทั้งที่มีศักยภาพทางทหารที่เหนือกว่าและมีอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่มีใครเทียบได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าสหรัฐจะเป็นคนนอกเมื่อพิจารณาจากภูมิศาสตร์แล้ว แต่การที่สหรัฐเข้ามายุ่มย่ามในประเด็นความขัดแย้งในทะเลจีนใต้มากยิ่งขึ้นก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
การถูกครอบงำกับความคิดเรื่องการวิจารณ์จีนอย่างรุนแรงของสหรัฐนี้ ชี้ให้เห็นว่าการเข้ามาแทรกแซงของสหรัฐในประเด็นทะเลจีนใต้ แท้จริงแล้วก็คือ การะกวนน้ำให้ขุ่นหรือการหาเรื่องใส่ตัวดีๆนี่เอง
สำหรับประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีข้อพิพาทกับจีนในทะเลจีนใต้นั้น ประเทศเหล่านี้ควรจะรับรู้และตระหนักว่า สหรัฐมีแรงจูงใจที่จะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้มาโดยตลอด
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทะเลจีนใต้ จึงควรจะหาทางออกกันเองอย่างสันติมากกว่าที่จะถูกบงการจากมหาอำนาจนอกภูมิภาคที่อาจจะหายหน้าไปเมื่อใดก็ได้ หากข้อพิพาททวีความรุนแรงจนกลายเป็นความขัดแย้งในที่สุด
โดย หวัง ไห่ฉิง จากสำนักข่าวซินหัว