Commentary: นักวิเคราะห์ชี้ญี่ปุ่นควรแสดงความจริงใจมากกว่านี้เพื่อคลายปมพิพาทสมัยสงคราม

ข่าวการเมือง Tuesday December 29, 2015 17:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บทวิจารณ์จากซุน ติง นักเขียนจากสำนักข่าวซินหัว

หลังจากที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อคลี่คลายข้อบาดหมางสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทหารญี่ปุ่นได้ใช้ผู้หญิงชาวเกาหลีใต้เป็นทาสทางเพศนั้น นักเขียนรายนี้มองว่า ญี่ปุ่นควรแสดงความจริงใจและมีการดำเนินการมากกว่านี้ในการแก้ไขปัญหาทางประวัติศาสตร์ที่มีความอ่อนไหวเช่นนี้

เมื่อวานนี้ ญี่ปุ่นได้ออกมากล่าวคำขอโทษ พร้อมเสนอเงินเป็นจำนวน 1 พันล้านเยน (ราว 8.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แก่หญิงชาวเกาหลีซึ่งถูกทหารญี่ปุ่นบีบให้เป็นทาสทางเพศช่วงสงคราม

สำหรับทั้งสองประเทศแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ซึ่งย่ำแย่ลงเป็นเวลาหลายปีหลังจากที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาแก้ไขประวัติศาสตร์อันเป็นที่โจษจันอย่างการปฏิเสธความโหดร้ายของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม รวมถึงการบีบบังคับให้หญิงชาวเอเชียที่อาศัยอยู่บนดินแดนที่ตนยึดครองทำงานเป็นทาสทางเพศ

สำหรับเอเชียตะวันออกทั้งภูมิภาค ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของกลุ่มประเทศในภูมิภาคในการคลี่คลายประเด็นทางประวัติศาสตร์ โดยการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จะช่วยวางรากฐานอันแข็งแกร่งสู่ความมั่นคงและความก้าวหน้าของเอเชีย

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ญี่ปุ่นจะก้าวเข้าสู่ "ยุคใหม่" กับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นควรระลึกอยู่เสมอว่า หญิงชาวเกาหลีใต้ไม่ได้เป็นเหยื่อของความโหดร้ายทารุณเพียงกลุ่มเดียว และการบรรลุข้อตกลงกับเพียงประเทศเดียวนั้นไม่ได้ใกล้กับการคลี่คลายปัญหาทาสทางเพศในภาพรวมเลยสักนิด

บรรดานักประวัติศาสตร์ประเมินว่า หญิงที่ตกเป็นเหยื่อทาสทางเพศราว 200,000 รายถูกบีบบังคับให้ทำงานตามสถานบริการของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงคราม ซึ่งนอกเหนือจากคาบสมุทรเกาหลีแล้ว หญิงผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ยังมาจากจีนและประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน

เมื่อเดือนที่ผ่านมา จาง เซียนตู่ หญิงที่ตกเป็นเหยื่อทาสทางเพศรายสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในจีน ซึ่งได้ดำเนินการฟ้องร้องคดีอาชญากรรมช่วงสงครามอันเป็นผลจากลัทธิทหารญี่ปุ่นนั้น ได้ถึงแก่กรรมในวัย 89 ปี โดยไม่ได้รับคำขอโทษหรือการชดใช้จากญี่ปุ่นแต่อย่างใด

หากญี่ปุ่นมีความจริงใจอย่างแท้จริงในการแสดงความเสียใจและกล่าวคำขอโทษในประเด็นดังกล่าว ญี่ปุ่นก็คงได้ออกมาขอโทษและดำเนินการชดใช้ให้กับเหยื่อทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาสิ้นใจไปทีละคนอย่างตาไม่หลับ

นอกจากนี้ยังน่าเสียดายอย่างยิ่ง เนื่องจากการที่ญี่ปุ่นได้ออกมาคลายประเด็นดังกล่าวกับเกาหลีใต้นั้นเป็นเพียงการตัดสินใจทางการเมือง อันเป็นผลจากการกดดันของสหรัฐ มากกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ญี่ปุ่นเพิ่งรู้สึก

ตามกลยุทธ์เพื่อ "คืนสมดุลแก่เอเชียแปซิฟิก" และความมั่นคงในเอเชียตะวันออก ทางรัฐบาลสหรัฐได้มีการกดดันพันธมิตรทางทหารรายสำคัญในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มาตลอด เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถคลี่คลายข้อพิพาท พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกมาประนีประนอมในประเด็นดังกล่าว

ผลการสำรวจล่าสุดจากนิกเกอิแสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 57% เผยว่า ญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องยินยอมในประเด็นทาสทางเพศสมัยสงคราม ขณะที่อีก 24% มองว่าญี่ปุ่นควรยินยอม ผลลัพธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงแนวโน้มลัทธิอนุรักษ์นิยมของชาวญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคที่คอยกีดกันไม่ให้ญี่ปุ่นและประเทศเพื่อนบ้านสามารถคลี่คลายความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ได้

สุดท้ายนี้ ซุน ติง ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เพื่อเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านในประเด็นทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรวมถึงในเรื่องของทาสทางเพศ ญี่ปุ่นควรมีความจริงใจมากกว่านี้เพื่อเผชิญหน้ากับประเด็นทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นธรรม ไตร่ตรองถึงการรุกรานของตนในอดีต และจัดการกับประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างมีความรับผิดชอบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ