ขณะนี้ ทั่วโลกต่างใจจดใจจ่อต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ขณะที่กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกที่สามารถส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง
ในวันที่ 8 พ.ย. นอกจากชาวสหรัฐที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีตามที่คนส่วนใหญ่ทราบกันแล้ว พวกเขายังจะทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาจำนวน 435 คน และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือจำนวน 33 คน จากทั้งหมด 100 คน โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีขึ้นทุก 4 ปี และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะมีขึ้นทุก 2 ปี
ขณะเดียวกัน ชาวสหรัฐยังออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหลายพันคนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ว่าการรัฐ และผู้พิพากษา ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญต่อทั้งพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน เนื่องจากจะเป็นการชี้เป็นชี้ตายสำหรับผู้สมัครของพรรคในการเข้าไปนั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาว และการครองอำนาจในสภาคองเกรส รวมทั้งการเป็นผู้ว่าการรัฐ
นอกจากนี้ บางรัฐอาจพ่วงการทำประชามติในประเด็นต่างๆที่กำลังเป็นที่สนใจภายในรัฐให้ประชาชนลงคะแนนเสียงในวันพรุ่งนี้เช่นเดียวกัน เช่น การควบคุมอาวุธปืน หรือสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ
ประเทศไทยจะเริ่มรับรู้ผลการเลือกตั้งของสหรัฐในช่วงเช้าของวันพุธ ซึ่งคาดว่าจะสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้น และค่าเงินบาท โดยขึ้นอยู่กับว่า นางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน จะเป็นฝ่ายนำในการนับคะแนนเลือกตั้ง หลังปิดหีบในสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนจะให้ความสนใจแบบไม่กะพริบตา
*คาดตลาดหุ้น,น้ำมัน,บอนด์ยิลด์ดีดตัว รับชัยชนะ"ฮิลลารี"
ผลการศึกษาของสถาบันบรุคกิงส์พบว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้น 12% หากนางฮิลลารีชนะการเลือกตั้ง และความผันผวนของตลาดจะลดลง 15-30% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะสูงขึ้น 0.25% และราคาน้ำมันจะดีดตัวขึ้น 4 ดอลลาร์
รายงานยังระบุว่า นอกจากชัยชนะของนางฮิลลารีจะช่วยหนุนตลาดหุ้นวอลล์สตรีทแล้ว ยังจะส่งอานิสงส์ไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน
ที่ผ่านมา ตลาดปริวรรตเงินตราได้ตอบรับต่อแนวโน้มที่นางฮิลลารีจะประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยค่าเงินเปโซเม็กซิโก และดอลลาร์แคนาดา ซึ่งต่างก็เป็นประเทศคู่ค้าของสหรัฐในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) ซึ่งนายทรัมป์ขู่ว่าจะฉีกทิ้ง ได้ดีดตัวขึ้นจากการเก็งชัยชนะของนางฮิลลารี เช่นเดียวกับสกุลเงินในประเทศที่มีการทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ เช่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ขณะที่เยนเป็นสกุลเงินหลักเพียงสกุลเดียวที่อ่อนค่าลง
*ตลาดหุ้นพัง,เศรษฐกิจโลกวูบแน่ หาก"ทรัมป์"ชนะเลือกตั้ง
นายไซมอน จอห์นสัน นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (MIT) ระบุว่า หากนายทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย. ตลาดหุ้นก็จะดิ่งลงอย่างหนัก ขณะที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
นายจอห์นสันกล่าวว่า นโยบายต่อต้านการค้าเสรีของนายทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก เหมือนกับที่อังกฤษกำลังเผชิญอยู่ หลังจากการลงประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรป
นายจอห์นสันระบุในรายงานว่า เศรษฐกิจยุโรปมีความเปราะบางมาก และภาวะถดถอยที่เกิดจากนโยบายต่อต้านการค้าของนายทรัมป์จะกระทบให้ยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเต็มรูปแบบ และจะส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ในภาคธนาคาร ซึ่งหากความเสี่ยงดังกล่าวไม่สามารถควบคุมได้ ก็จะทำให้เกิดวัฏจักรในเชิงลบ ขณะที่ผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ และประเทศที่มีรายได้น้อยจะมีความรุนแรงมาก
ทางด้านนายมาร์ก คิวบาน เจ้าของทีมดัลลัส แมฟเวอริคส์ ซึ่งเป็นทีมบาสเก็ตบอลชื่อดังในศึกยัดห่วงเอ็นบีเอ และเป็นผู้สนับสนุนนางฮิลลารี กล่าวว่า หากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย. คำพูดที่ไม่ระวังของเขาอาจทำให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงได้
นายคิวบานกล่าวว่า ภาวะทางอารมณ์ของนายทรัมป์ถือเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อตลาด โดยคำพูด"โง่ๆ และก้าวร้าว"ของเขาระหว่างการดำรงตำแหน่ง อาจสร้างความขัดแย้งทางการเมืองต่อประเทศต่างๆ และกระทบต่อตลาดโลก
"นั่นเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้น" เขากล่าว
*"เยลเลน"อาจกระเด็นตกเก้าอี้ประธานเฟด หาก"ทรัมป์"เป็นผู้นำสหรัฐ
หากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็มีแนวโน้มว่านางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ได้รับการต่อวาระการดำรงตำแหน่ง หลังจากครบกำหนดในเดือนก.พ.2018 และสิ่งนี้จะสร้างความกังวลต่อนักลงทุนเกี่ยวกับตัวผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ ซึ่งอาจจะมีจุดยืนด้านนโยบายการเงินที่แตกต่างจากนางเยลเลนที่สนับสนุนนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์กล่าวหานางเยลเลนว่าได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเกินไปเพื่อเหตุผลทางการเมือง
นายทรัมป์กล่าวว่า นางเยลเลนพยายามผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้เดินหน้าต่อไปเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา
"ผมคิดว่านางเยลเลนมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง และเธอควรมีความละอายแก่ใจ" เขากล่าว
นายทรัมป์ยังกล่าวว่า หากเขาประสบชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะไม่ต่อวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของนางเยลเลน เมื่อครบวาระการดำรงตำแหน่งในปี 2018
ทางด้านนายพอล แอชเวิร์ท หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทแคปิตอล อิโคโนมิกส์ ระบุในรายงานว่า หากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ก็มีความเป็นไปได้ว่านางเยลเลนจะประกาศลาออกจากตำแหน่งทันที โดยอาจเกิดขึ้นก่อนการประชุมเฟดในกลางเดือนธ.ค. ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี
นายแอชเวิร์ทระบุว่า เป็นเรื่องยากที่จะมองว่านางเยลเลนจะอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระในต้นปี 2018
ทั้งนี้ นางเยลเลนได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเฟดจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต โดยนางเยลเลนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนก.พ.2014 ขณะที่มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ซึ่งจะครบวาระในวันที่ 3 ก.พ.2018
*เจาะลึก 6 โมเดลผลเลือกตั้งต่อการปรับตัวของวอลล์สตรีท
ถึงแม้การทำนายทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่สิ่งหนึ่งที่สถิติในอดีตบ่งชี้ก็คือ ตลาดหุ้นจะขึ้นมากที่สุดในสถานการณ์ที่ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ก็ต้องพ่วงด้วยเงื่อนไขที่ว่า พรรคคู่แข่งคือรีพับลิกันจะต้องครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
ถึงแม้นางฮิลลารีดูเหมือนมีคะแนนนำนายทรัมป์ในการสำรวจแทบทุกสำนัก ทั้งในการสำรวจทั่วประเทศสหรัฐ และในรัฐที่ไม่เป็นฐานเสียงของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน แต่การที่พรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่คาดว่าการต่อสู้จะเป็นไปอย่างดุเดือด โดยพรรคเดโมแครตจะต้องได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 30 ที่ในสภาผู้แทนฯ จึงจะสามารถครองเสียงข้างมาก และต้องได้เก้าอี้เพิ่มขึ้นอีก 4 ที่จึงจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา
หากตลาดหุ้นปรับตัวในครั้งนี้เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา สถานการณ์ที่ว่า นางฮิลลารีชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะยังไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวดีที่สุด โดยรูปแบบที่จะทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นมากที่สุดคือ การที่นางฮิลลารีชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
ทั้งนี้ ผลการศึกษาของเครดิต สวิสพบว่า นับตั้งแต่ปี 1928 ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ โดยจะส่งผลให้ตลาดหุ้นทะยานขึ้นเฉลี่ย 33.5%
หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นเฉลี่ย 28.9%
หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 19.2%
หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 13.3%
หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10.4%
หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ขณะที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.1%
โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ทั้ง 6 ดังกล่าว มาจากการคำนวณการปรับตัวของดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่ปี 1928 ในช่วงเวลา 2 ปี หลังจากเดือนม.ค.ซึ่งมีการสาบานตนของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และมีการเริ่มต้นสภาคองเกรสชุดใหม่
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของเครดิต สวิสยังพบว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวได้ดีกว่า หากพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ ทั้งในทำเนียบขาว และสภาคองเกรส ไม่มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ โดยจากการคำนวณการปรับตัวของดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลา 2 ปี หลังจากเดือนม.ค.ซึ่งมีการสาบานตนของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และมีการเริ่มต้นสภาคองเกรสชุดใหม่ พบว่ากรณีดังกล่าวจะทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้น 18.9% เทียบกับระดับ 11% ที่มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ
บรรดาบริษัทรับพนันที่ถูกกฎหมายต่างคาดการณ์กันว่า ผลการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.จะปรากฎว่า นางฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่พรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และพรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นสถานการณ์ที่จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีที่สุดเป็นอันดับ 2
ทางด้านนายแจ็ค แอบลิน ซีอีโอของบริษัทบีเอ็มโอ ระบุในรายงานว่า "เมื่อมองย้อนกลับไปถึงปี 1900 ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มปรับตัวดีกว่า หากผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ โดยดัชนีจะดีดตัวขึ้นเฉลี่ยรายปี 8.4% เทียบกับที่ปรับตัวขึ้นเพียง 6.1% หากผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี"
"อย่างไรก็ดี หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา จะช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ได้ดีกว่าพรรคเดโมแครต โดยจะทำให้ปรับตัวขึ้น 8.1% เทียบกับระดับ 6.5% ของพรรคเดโมแครต"
"ในกรณีที่พรรคเดโมแครตสามารถครองทำเนียบขาว และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา จะทำให้ดาวโจนส์พุ่งขึ้นเฉลี่ย 11.2% ต่อปี และหากพรรคเดโมแครตสามารถครองทั้งทำเนียบขาว และวุฒิสภา ก็จะทำให้ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 7.5% ต่อปี"
นายแอบลินกล่าวว่า PredictIt.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์พนันชื่อดัง คาดการณ์ว่า พรรครีพับลิกันมีโอกาสเพียง 32% ที่จะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่มีโอกาสถึง 80% ที่จะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหากพรรคเดโมแครตขึ้นมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ก็จะทำให้ตลาดหุ้นถูกกดดัน จากความวิตกเกี่ยวกับการออกกฎระเบียบเพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราภาษี
อย่างไรก็ดี นายแอบลินระบุว่า สำนักโพลล์ และสำนักพนันก็ไม่อาจเชื่อถือได้ 100%
"ยกตัวอย่างจากกรณีผลโหวต Brexit ซึ่งขณะนั้นสำนักพนันต่างฟันธงว่า มีโอกาสถึง 85% ที่อังกฤษจะยังคงอยู่กับสหภาพยุโรปต่อไป แต่กลายเป็นว่าชาวอังกฤษส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะแยกตัวออกไป" เขากล่าว
*ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอาจหักปากกาเซียน จากหลายปัจจัย
ถึงแม้โพลล์หลายสำนักต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า นางฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย. แต่ก็ยังคงมีปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่างที่ผลการสำรวจระบุไว้
ประการแรกคือการที่คะแนนความชื่นชอบของชาวสหรัฐที่มีต่อนางฮิลลารี และนายทรัมป์ ได้อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีผลกระทบต่อจำนวนผู้ที่จะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยอาจลดลงสู่ระดับ 52% เมื่อเทียบกับระดับ 60% ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีหลายครั้งที่ผ่านมา และสิ่งนี้จะกระทบต่อผลการเลือกตั้งที่อาจผิดเพี้ยนไปจากการสำรวจ
ประการที่ 2 คือผลการสำรวจที่ออกมาก่อนหน้านี้ อาจทำให้ฐานเสียงของนางฮิลลารีเลือกที่จะไม่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์ระบุว่า ผลการสำรวจที่แสดงว่านางฮิลลารีมีคะแนนนิยมทิ้งห่างนายทรัมป์ อาจทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนต่างนิ่งนอนใจ และไม่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยเชื่อว่านางฮิลลารีมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งอยู่แล้ว ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนนายทรัมป์จะมีความกระตือรือร้นออกมาใช้สิทธิมากกว่า เนื่องจากมองว่านายทรัมป์กำลังมีคะแนนตามหลังนางฮิลลารี ซึ่งหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ นายทรัมป์ก็อาจมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งได้
ประการที่ 3 คือการที่สำนักสำรวจคะแนนนิยมส่วนใหญ่จะใช้การโทรศัพท์สอบถามกลุ่มตัวอย่างผ่านทางโทรศัพท์พื้นฐาน หรือโทรศัพท์บ้าน มากกว่าโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าถึง 30-50% และเพราะกฎหมายสหรัฐห้ามสำนักโพลล์ทำการโทรศัพท์อัตโนมัติผ่านระบบคอมพิวเตอร์เข้าไปยังโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งจากการที่ไม่มีการจัดทำรายชื่อผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นระบบกลางเหมือนโทรศัพท์พื้นฐาน
แต่ในปัจจุบัน มีชาวอเมริกันถึงครึ่งหนึ่งที่มีแค่โทรศัพท์มือถือ และไม่มีโทรศัพท์พื้นฐาน ทำให้สำนักโพลล์ประสบปัญหา และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่จะเป็นตัวแทนของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธสายโทรเข้าของสำนักโพลล์มากกว่าผู้ใช้โทรศัพท์พื้นฐาน โดยสำนักโพลล์หลายแห่งระบุว่า พวกเขาสามารถโทรติดต่อสอบถามความเห็นของกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพียง 10% เท่านั้น ลดลงจากระดับ 80% เมื่อหลายปีก่อน
ประการสุดท้ายคือ การที่สำนักโพลล์หลายแห่งทำการสำรวจผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งผู้ที่จะเข้ามาตอบแบบสำรวจจะมาแบบสมัครใจ มากกว่าที่จะเป็นการสุ่มตัวอย่างจากบริษัทสำรวจ ทำให้ผลการสำรวจไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรส่วนใหญ่ในสหรัฐ
*ดรามาก่อนถึงวันเลือกตั้ง หลัง FBI ยันไม่ดำเนินคดีอาญา"ฮิลลารี"
ถึงแม้ในช่วงแรก นางฮิลลารีถูกมองว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ แต่ก็เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เมื่อสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมปัดฝุ่นรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัว ส่งผลให้คะแนนนิยมของนางฮิลลารีวูบลงใกล้เคียงกับของนายทรัมป์ แต่ก็ราวกับมีการเขียนพล็อตในบทละคร เมื่อล่าสุด FBI ยืนยันว่า จะไม่ดำเนินคดีอาญาต่อนางฮิลลารี หลังมีการตรวจสอบอีเมล์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับนางฮิลลารี ส่งผลให้กองเชียร์ของนางฮิลลารีใจชื้นขึ้นตามๆกัน และหนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นในวันนี้
*โปรดติดตามตอนจบศึกเลือกตั้งปธน.สหรัฐ ลุ้น"ฮิลลารี" VS "ทรัมป์" เข้าวินเส้นชัย
จากนี้ไป นักลงทุนคงต้องติดตามความคืบหน้าต่างๆเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสหรัฐอย่างไม่กะพริบตา และดูว่าศึกเลือกตั้งชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวจะจบแบบถูกใจคนดูหรือไม่ เพราะเขาหรือเธอคนนี้ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกจะมีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม