ทำเนียบขาวยืนยันว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐ จะไม่ลงนามรับรองร่างกฎหมายใดๆที่เป็นการขัดขวางข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายก่อนที่โอบามาจะก้าวลงจากตำแหน่ง
นายจอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า "รัฐบาลจะไม่ลงนามเพื่อตรากฎหมายใดๆ ที่จะเป็นการขัดขวางประชาคมโลกในการบังคับใช้ข้อตกลงระดับนานาชาติเพื่อป้องกันอิหร่านจากการพัฒนาและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์"
ทั้งนี้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บรรดาแกนนำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกันได้เรียกร้องให้โอบามายุติการออกมาตรการใหม่ๆเพื่อผลักดันให้ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านมีผลบังคับใช้ต่อไป ก่อนหน้าที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.
นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ พร้อมด้วยนายเควิน แม็คคาร์ธีย์ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ และนายเอ็ด รอยซ์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของสภาผู้แทนฯ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงโอบามา โดยมีใจความว่า "เราร้องขอด้วยความเคารพว่า รัฐบาลของท่าน (ประธานาธิบดี) จะไม่ดำเนินมาตรการต่างๆต่อไปเพื่อที่จะสนับสนุนการลงทุนในอิหร่าน รวมไปถึงการเข้าไปแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขใดๆในมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านที่มีอยู่เดิมขององค์การระหว่างประเทศ"
นอกจากนี้นักการเมืองรีพับลิกันยังแจ้งให้รัฐบาลของโอบามาทราบด้วยว่า พวกเขาจะเสนอร่างกฎหมายเพื่อยืดอายุการคว่ำบาตรอิหร่านออกไปอีก 10 ปี ให้โอบามาพิจารณาในเร็ววันนี้
ในจดหมายฉบับดังกล่าวระบุด้วยว่า "ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี สมควรได้รับโอกาสในการประเมินนโยบายต่างประเทศที่มีต่ออิหร่าน โดยรัฐบาลของโอบามาจะต้องไม่กำหนดหรือบังคับใช้มาตรการใดๆเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการสร้างความยุ่งยากให้แก่รัฐบาลใหม่ในการกำหนดนโยบายของตน"
ทั้งนี้ อิหร่านและประเทศมหาอำนาจ 6 ชาติอันประกอบด้วยสหรัฐ อังกฤษ จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติความขัดแย้งเรื่องนิวเคลียร์อิหร่านในเดือนก.ค. 2558 โดยประเทศมหาอำนาจจะยอมผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน เพื่อแลกกับการที่อิหร่านจำกัดกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ และยอมเปิดทางให้นานาชาติเข้าไปตรวจสอบโรงงานในอิหร่านเป็นประจำ สำนักข่าวซินหัวรายงาน